วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

จักระที่มากกว่าเจ็ด พร้อมอิทธิฤทธิ์แห่งจักระนั้นๆ

วันนี้ มีธุระครับ ไม่เกริ่นยาวละ ขอเข้าเรื่องเลยละกัน ...


อย่่างแรก พี่ชายขอปูพื้นนิดหนึ่ง คำว่า "จักระ" มาจากเหล่าโยคีก่อนนะครับ เขาฝึกกัน พระพุทธศาสนาเรานี้ ไม่ต้องฝึกอะไรก็ได้ ถ้าได้ไปถึงพระพุทธเจ้าโปรดแล้วปัญญาแจ้งก็จบเลย แต่ทีนี้ เราจะมาคุยกันในเรื่องการฝึกและคนที่ชอบฝึกครับ สำหรับโยคีอินเดียนั้น เขาจะนับจักระมี ๗ จักระนะครับ แต่ในนักพรตเต๋า จะมีได้มากกว่านั้น นอกจากจักระทั้ง ๗ แล้ว สามารถเปิดจักระอื่นๆ ได้อีก แต่เขาไม่เรียกว่าจักระ จะเรียกว่า "เปิดจุดชีพจร" คือ ในร่างกายเรานี้ มันมีพลังงานไหลเวียนอยู่ มันไหลอย่างมีระบบเหมือนเลือดแหละครับ โดยไหลผ่านท่อหนึ่งเรียกว่า "ท่อชีพจร" หรือ "ชีพจร" เฉยๆ ก็ไ้ด้ ชีพจรนี้ ไม่เหมือนชีพจรของเลือดเสียทีเดียว แต่คล้ายกันครับ มีความสัมพันธ์กันมากอยู่ แต่ก็มีรายละเอียดที่ต่างกัน ท่อที่ใหญ่ที่สุด คือ "แกนกลางร่างกาย" ครับ โดยจะมี "ประตูเปิดพลัง" อยู่ ๗ ประตู เรียกว่า "จักระ" นั่นเอง โดยมีการเปิดได้หลายแบบ เช่น เปิดด้านหน้า, เปิดด้านบน ฯลฯ เ้ป็นต้น ก็แล้วแต่จักระนั้นๆ ครับ ทีนี้ พี่ชายจะแนะนำ "ประตูเปิดพลัง" ที่นอกไปจากจักระทั้ง ๗ นั้น เช่น ฝ่ามือ, ฝ่าเท้า, ปลายนิ้วมือ, ทุกรูขุมขน ฯลฯ เปิดได้หมดครับ เปิดแล้วสามารถเดินพลัง ไหลเวียนให้เข้าออกผ่านร่างกายได้ เข้าก็ได้ ออกก็ได้ ปกติ ถ้าดึงพลังเข้า เพื่อเสริมพลังในร่างกาย แต่ถ้าถ่ายพลังออกก็เพื่อทำกิจต่างๆ อย่างเหมาะสมนั่นเอง ครับ มีเรื่องเล่าครับ ครั้งหนึ่ง พี่ชายเคยมีอะไรนิดหน่อย (ขอเซนเซอร์นะ อายน่ะตัวเอง) แล้วพลังกุณฑาลินีมันตื่นขึ้น เป็นพลังงูร้อน ดันขึ้นกระหม่อม เหมือนจะเป็นบ้าเลย แบบว่าบ้าคลั่งอะไรแบบนั้น ปวดมาก เหมือนจะเป็นไมเกรนหรืออะไรไม่รู้ คือ มันดันเปิดจักระที่ ๗ ไม่ออกอ่ะ แล้วครั้งหนึ่ง พี่ชายไปฝึกสมาธิ แล้วพลังออกฝ่ามือ เยอะมากๆ เชียว เป็นลูกบอลพลังอะไรนะ ใหญ่ๆ อ่ะ สัมผัสถึงพลังได้ชัดเจนมากเลย ก็มีอีกครั้งหนึ่ง ตอนนอนแล้วถีบๆ ไปในอากาศ พลังออกฝ่าเท้า เป็นพลังธาตุไฟ ไหลไปเข้าตัวสหายธรรมที่อยู่ไม่ไกลแทน แปลกดีเนอะ


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์ต่อไปว่า การเปิดประตูพลังงาน ก็เพื่อที่จะใช้่พลังงานได้มากขึ้น ทำให้พลังงานไหลออกทางประตูนั้นไำด้ดีขึ้น แต่ละประตูก็จะมีความพิเศษต่างกันไป เช่น ประตูกระหม่อม ส่งผลให้เกิดปัญญามาก, ประตูตาที่สาม ทำให้เห็นทะลุมิติสังขาร, ประตูฝ่ามือ ก็ทำให้พลังฝ่ามือมากขึ้น, ประตูฝ่าเท้า ก็ทำให้ใช้พลังพิเศษผ่านเท้าได้ครับ แต่เดี๋ยวนี้ คนฝึกศิลปะการต่อสู้หรือป้องกันตัว เขาฝึกแต่ท่าก็ไม่ได้สนใจเรื่องพลังภายในกันแล้ว อย่างมวยไทยนี้ เราไม่สนใจพลังภายใน เราสนใจแต่พลังภายนอก คือ เอาแรงกายเข้าสู้จนกว่าจะหมดแรงอ่ะ (คนละอย่างกะพลังภายในอ่ะ) สังเกตุดูครับว่ามวยไทย ตอนที่แก่ลงจะโทรมมากๆ หรือร่างกายทรุดโทรมเร็วกว่าคนทั่วไป ทว่า มวยจีนหรือกังฟู ไม่เป็นอย่างนั้น บางคนต่อให้ต่อสู้เยอะ แต่แปลกนะ ต่อให้อายุมาก กลับดูเหมือนไม่ค่อยแก่เลยยังมี นี่ละ การรู้จักใช้่พลังภายในที่แตกต่างกัน ส่งผลได้อย่างนี้ แล้วร้ายยิ่งกว่านั้น ถ้ารู้จักใช้่พลังภายในจริง อาจปลิดชีพคนได้โดยไม่ต้องใช้ร่างกายเลย และไม่มีหลักฐานอีกด้วย เอาละสิ ทีนี้ จะจับผิด ดำเนินคดีก็ไม่ได้ แต่ถ้าใช้มวยไทยชกคนตายละก็ เข้าคุกละครับท่าน ไม่รอดแ่น่นอน ที่พี่ชายเม้าท์อย่างนี้ ไมไ่ด้ดูถูกมวยไทยนะ เคารพมวยไทยมาก เพราะมันแรงมากจริงๆ ฆ่าคนตายด้วยมือเปล่าได้ มันเป็นมวยแข็งและแรงมาก แต่มันก็ย้อนกลับมาทำร้ายผู้ฝึกได้ด้วย คล้ายๆ มวยจีนที่ืมีชื่อว่า "หมัดเจ็ดทำร้าย" (แต่คนชอบหลอกว่าเป็นหมัดเจ็ดดาวเหนืออ่ะนะ) คนจีนที่รู้ดี จะบอกว่าอย่าไปฝึก เพราะมันทำร้ายตัวเองไปด้วยในตัว สำหรับมวยจีนที่มาชกกับมวยไทย อาจแพ้ได้ง่ายๆ เพราะพลังภายในที่เขาสะสมยังไม่มาก และยังไม่ถึงขั้นสูงสุดยอด ถ้าขั้นสูงจริงๆ ก็ไม่ต้องออกแรงมาก เจอกันก็แค่ตบไหล่เบาๆ ประมาณว่าแกล้งทักทายกัน คนที่โดนกลับไปบ้านก็ป่วยทรุด นอนซม ไม่นานก็ตายได้เลยอ่ะ แต่ว่าไม่ใช่จะฝึกกันง่ายๆ ถึงจะได้ระดับนั้น เดี๋ยวนี้ หายาก เลยไม่มีให้โชว์ละ ของญี่ปุ่นเขาก็มีนะ พวกนินจาอ่ะ บางคนฝึกวิธีฆ่าแบบลับ ไม่มีใครรู้ จับไม่ได้ ว่านั่นคือวิธีฆ่าแบบลับๆ ของเขา ใครโดนก็ไม่รอด แต่สมัยนี้ไม่มีแล้วมั้ง อย่างที่เห็นใช้ดาบ, ดาวกระจายนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เขาใช้ฆ่ากันจริงๆ นะ มันเป็นแค่อาวุธที่ใช้เปิดทางหนี ก็เท่านั้น


เอาละ เม้าท์เรื่องนี้มากไปไม่ดี เดี๋ยวเด็กจะลอกเลียนแบบไปทำตาม ก็จะเกิดความวุ่นวายได้ แ่ค่เม้าท์ให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้บอกให้ไปทำนะ ก็ไม่ได้บอกวิธีฝึกอย่างไรด้วยแต่เม้าท์ให้ฟังว่ามันมีแบบนี้อยู่เหมือนกัน  ฟังเป็นนิทานอาหรับราตรีอีกเช่นเคย ฮ่าๆๆ เอาละ ไปแล้ว ราตรีสวัสดิ์



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เม้าท์ด้วยคน