วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น คือ "ตัวบุญบารมี" แต่ ตัวตนมนุษย์ คือ "ตัวกระทำ"

ว้าย... ตายแล้วเจ้าข้า คุณผู้หญิงเจ้าขา อกอีแป้นจะแตก ตูดอีปอยจะทะลัก! ข่าวด่วนคร่ะ ไปแอ๊บได้ยินมานะเจ้าคะ "คุณทีวี" บอกมาอ่ะค่ะ มันเป็นข่าวผัวฝรั่งใช้เมียไทยค้ายาบ้าข้ามชาติค่ะ ว้าย ตายแล้ว รับไม่ได้อย่างที่สุดเจ้าคร่ะ ทำไปได้ยังไง ทำไมไม่บรรจุหีบห่ออีแก่แม่งมันขายส่งออกนอกไปเลยละเจ้าคะ เดี๋ยวนี้โรงงานรีไซเคิลเขารับหมดค่ะ เก่าแก่แค่ไหนก็รับได้ค่า ... อ่ะ เม้า้ท์ข่าวนินทาชาวบ้านไปผ่อนคลายความเครียดเฉยๆ นะครับ อย่าคิดมว้าก เอาเป็นว่าเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่าครับ นั่นก็คือ เรื่องของ "ตัวกระทำต่างมิติ" ที่มีหน้าที่ต่างกันครับ


ตัวตนมนุษย์ คือ "ตัวกระทำ" ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น คือ "ตัวบุญบารมี" อันนี้ ควรเข้าใจให้ชัดนะครับ หมายความว่าอะไร? มันหมายความว่า ไม่ว่าเราจะสร้างบุญบารมีมากแค่ไหน แต่ตัวตนที่เป็น "ตัวบุญบารมี" ของเราก็จะดำรงอยู่แต่ "ในมิติที่สูงกว่า" เท่านั้น ไม่ลงมาเกิดหรอกนะ แต่ตัวตนที่เป็นมนุษย์ของเรานี่่ต่างหาก ที่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์และทำหน้าที่เป็น "ตัวกระทำบนโลก" ครับ ดังนั้น หากใครบางคนจะหลงคิดไปว่าเราคือผู้มีบุญบารมีมากแล้ว เลยไม่ทำอะไรเลย ก็สมควรจะตายไปซะ เพราะไม่มีประโยชน์อะไร รกโลกครับ ไม่ควรมาเกิดแต่แรกเลยด้วยซ้ำ ใช่ไหมละ? แต่ถ้าคุณมาเกิดมีตัวมีตนเป็นคนบนโลกแล้ว คุณก็ต้องทำหน้าที่เป็น "ตัวกระทำ" ครับ ไม่ว่าจะเป็น "กระทำโดยไม่กระทำ" หรือจะกระทำในรูปแบบอื่นใด ก็ตามครับ เพราะถ้าคุณมาเกิดเป็นคนแล้ว คุณก็ต้องมีหน้าที่บนโลกนี้ทั้งนั้นครับ ถ้าไม่มีหน้าที่บนโลกนี้ก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นผู้เป็นคนกับเขาสิ ใช่ไหมครับ? เอาละ สรุปก็คือ ตัวตนมนุษย์ จะเป็นตัวกระทำสิ่งที่ควรกระทำบนโลกนี้ โดยมีตัวตนแห่งบุญบารมีที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นไป คอยดูแลอยู่ข้างบนอีกทีครับ 


ดังนั้น ไม่ว่าอดีตชาติหรือในมิติก่อนๆ อื่นใด คุณจะสร้างบุญบารมีมามากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าคุณยังมาเกิดบนโลกมนุษย์อยู่ คุณก็ต้องมีหน้าที่ ต้องเป็นตัวกระทำอะไรสักอย่างหนึ่งครับ แม้แต่พระพุทธเจ้าที่ลอยบุญลอยบาปแล้ว ไม่เอาชาติภพต่อไป และพระอรหันตสาวกทั้งหลายที่พร้อมนิพพานแล้วต่างก็มีหน้าที่ต้องกระทำกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่ากิจของท่านเหล่านี้ ไม่ได้มีกรรมมากพอจะต่อชาติสืบภพไปเท่านั้นเอง เรียกว่าใช้หมดในชาตินั้นๆ ได้ ดังนั้น การอ้างว่าตัวเองมีบุญบารมีมากแล้วเลยไม่ต้องทำอีก เป็นความคิดที่ิผิดนะครับ เพราะตราบใดที่ยังมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ยังมีหน้าที่ให้กระทำครับ นอกจากนี้ มันยังมีกฏอีกว่าไม่ว่าเราจะมีอดีตสร้างบุญบารมีมามากเท่าไรก็ตาม บุญบารมีนั้นก็อาจจะไม่สนองผลในชาตินี้เลย ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยครับ เช่น ถ้าไม่บิณฑบาตรแล้ว เขาจะเอาข้าวมาทำบุญแล้วพระสงฆ์จะรับบุญได้ไหม มันต้องทำอะไรบ้างนิดหน่อยครับรองรับพลังบุญที่จะเข้ามาไม่เช่นนั้น มันก็จะไม่อาจเข้ามาได้เลยครับ มันจะไหลไปสู่ "ตัวตนตัวอื่นๆ ที่เป็นตัวกระทำ" ครับ ทั้งนี้ มันมีความยุติธรรมเท่าเทียมกันอีกว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจุดใด ยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อยแค่ไหน? แต่การกระทำของคุณ ก็มีผลไม่ต่างกัน เหมือนคนเล่นเกมกระดานเล็ก กับกระดานใหญ่ ขนาดมันจะต่างกันเท่าไร ถ้าชนะได้ผลมันก็คือชนะเท่ากัน แต่ถ้าแพ้มันก็แพ้เท่ากัน ไม่ได้มีว่าชนะกระดานใหญ่แล้วจะได้ดีกว่ากระดานเล็กนะครับ ดังนั้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องไปแก่งแย่งอำนาจ เพื่อให้ได้กระทำอะไรต่อมิอะไร อย่างใครเขา จุดใดก็ได้ ที่คุณสามารถทำหน้าที่ได้ ก็ทำไปเลยครับ ทุกอย่างรอบตัวเรา "มันก็แค่เครื่องปรุงแต่ง" เท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญมันไม่ได้อยู่ที่นั่น มันอยู่ที่ "การกระทำของตัวเราเอง" ครับ ไม่เช่นนั้น ก็จะ้เกิดความวุ่นวายเพราะการแก่งแย่งกันไงครับ


เอาละ สุดท้ายนี้ ผมขอกล่าวถึง "ความสัมพันธ์ของตัวบุญบารมีและตัวมนุษย์" ซึ่งอันที่จริงแล้ว "ทุกตัวตนในทุกมิติล้วนเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด" ทว่า ผมจะขอเจาะลงไปเฉพาะสองตัวตนนี้ก่อน เพราะมันจะใกล้ชิดกับมนุษย์และคุณจะสัมผัสได้ง่ายกว่า สรุปก็คือ ตัวบุญบารมีที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นไปของเรา จะเก็บบุญบารมีเราไว้ให้ ไม่เอาออกมาให้เราเรี่ยราดครับ เมื่อใดที่เราได้บุญบารมีแบบเรี่ยราด ฟุ่มเฟือย นั่นให้ทราบไว้ว่า "หนอนเจาะถังข้าวสาร" เราแล้วครับ บุญบารมีของเราจะเริ่มรั่วออกแล้ว จนกระทั่งหมดครับ เมื่อนั้น พลังของตัวบุญบารมีที่จะเชื่อมต่อกับเรา ก็หายแห้งหมดสิ้นไป แล้ว "ตัวกรรม-ตัวมืดมน" ก็จะเข้ามาครอบงำเราได้อย่างเต็มที่มากขึ้นครับ ดังนั้น เจ้าตัวกรรมหรือตัวมืดมนนี้ จึงเป็นตัวตรงข้ามกับตัวบุญบารมี ที่จะคอยเจาะให้บุญที่เราเคยมีอยู่นั้น รั่วไหลออกไป ผ่านการทำความดี ให้เรามากมายจนผิดปกติ เช่น ทำให้เราถูกหวยรวยโต, ทำให้เราได้นั่นได้นี่, ทำให้เรามีอำนาจมากมาย ฯลฯ อันมากเกินจริง อันเกินพอดี อันเ็ป็นไปในทางที่ฟุ่มเฟือยครับ ในขณะเดียวกัน "ตัวตนที่เป็นมนุษย์" ของเราก็ต้องทำหน้าที่ ทำกิจของเราครับ จึงจะมีสายสัมพันธ์ทางพลังงานที่เหนีียวแน่นกับ "ตัวบุญบารมี" ของเราได้ และยิ่งถ้าเราทำได้ดีมากขึ้น เราก็จะได้รับการยกระดับสูงขึ้นไปสู่ "ตัวบุญบารมี" ที่มีกำลังบุญบารมีมากกว่าตัวเดิมๆ ครับ นี่แหละคือ "การเลื่อนขั้น" ในทางตรงข้าม ถ้าเราเสื่อมลง เราก็จะเชื่อมสัมพันธ์ทางพลังงานกับตัวตนที่ต่ำลงไปได้เรื่อยๆ เช่นกันครับ สุดท้าย เราก็จะต้องไป "แทนที่ตัวตนตัวนั้น" ที่ได้เชื่อมโยงพลังงานมาสู่เราอย่างเหนียวแน่นครับ เืพื่อตัวตนตัวนั้นจะได้ปลดปล่อยตัวเองไปสู่สถานภาพใหม่ ที่ดีกว่า ไ้ด้เกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะมาเข้าสู่กระบวนการ "ยกระดับตัวเอง" ให้สูงขึ้นไปกว่าเดิมอย่างไรละครับ สำหรับบทความนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ...

2 ความคิดเห็น:

เม้าท์ด้วยคน