วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อย่าจมอยู่ในวิถี "ธรรมเสพติดหรือยาแก้" มันไม่ใช่นิพพานทั้งคู่

อ้าว วันนี้มาคุยเรื่องพื้นๆ ในพุทธศาสนาสักหน่อยนะครับ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรา "กลับสู่ความเป็นปกติ ธรรมดาได้" เวลาเราศึกษาอะไรที่ไปไกลเกินตัวมาก เช่น ไปยังมิติที่สูงมากๆ หลายครั้ง หรือหลายคน อาจไปแล้วกู่ไม่กลับได้ อาจหลงและหลุดไปเลย และนั่นคือ อันตรายอย่างหนึ่งครับ เมื่อถึงเวลานั้น ธรรมะพื้นๆ คือ ธรรมในพุทธศาสนาจะช่วยให้เรากลับสู่ปกติธรรมดาได้ครับไม่เช่นนั้น เราอาจจะมีสภาพไม่่ต่างจากเจ้าลัทธิบางคนในโลกนี้ ที่เคยพาสาวกฆ่าตัวตายหมู่มาแล้วนะครับ อั๊ยย่ะ อะไรจะขนาดนั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ เพราะมันเป็นความจริง ทั้งในอเมริกาและในญี่ปุ่น ก็มีหมดครับ ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะกลับมาสู่พื้นฐานกันหน่อย Back to basic กันนะครับ เป็นเรื่องของ "ธรรมที่ไม่ใช่นิพพาน แต่เขาเอาไว้เป็นยาแก้ เป็นธรรมโอสถ แก้การยึดติดสภาวะธรรมอื่นๆ ครับ ดังจะเม้าท์่ต่อไปนี้


มีตัวอย่างหนึ่งที่ดีมาก อยากให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูครับ คือ คนนี้เขาก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเขาได้พบกับอาจารย์ที่เขาคิดว่าใช่ ถูกใจครับ เป็นอาจารย์ที่สอนธรรมะ แต่ว่ายังมีมานะทิฐิคิดเอาชนะเหนือผู้อื่นอยู่ (อันนี้ มาจากมุมมองผมคนเดียวนะ) กล่าวคือ อาจารย์มีทิฐิอย่างนี้ว่า "คนที่มีธรรมสูงสุด คือ คนที่ไปสู่ความไร้ ได้มากที่สุด" จากนั้นก็เลยสอนธรรมแบบไร้อย่างที่สุด เช่น แม้แต่ความว่าง ก็ไม่มี, แม้แต่ความไร้ ก็ไม่ใช่ ฯลฯ (เป็นความสุดโต่ง สุดขั้วในด้านความไร้อย่างหนึ่ง หรือสุดโต่งทางการไม่ยึดติดอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่ธรรมกลางๆ หรือนิพพานนะครับ) อะไรแบบนั้น ซึ่งเข้าข่ายธรรมสุญตา ซึ่งไม่ใช่นิพพานนะครับ แต่เป็น "ยาแก้" สำหรับคนที่มีอะไรๆ เยอะไปหมด เช่น มีความรู้เยอะไปหมดแล้วยึดติดความรู้มากเกินไป, มีฤทธิ์เยอะแล้วหลงฤทธิ์กู่ไม่กลับ ฯลฯ เขาจะใช้ "ธรรมสุญตา" นี่ละ เป็นเหมือนยาแก้ ยาถอน ทำให้มันเป็นศูนย์ไปเลย แล้วคนๆ นั้นก็จะปลงตก หายจากความยึดมั่นถือมั่นได้ครับ ทว่า มันต้องใช้อย่างรู้แจ้งด้วย บังเอิญว่าอาจารย์คนนั้นใช้เพื่อแสดงความมีธรรมเหนือผู้อื่น อันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งมานะทิฐิ คนที่มารับธรรม ก็ชอบ เหมือนกับว่าได้เจออะไรที่ไร้อย่างที่สุด, ไม่มีอย่างยิ่ง หรือไม่ยึดติดอย่างหามิไำด้ อะไรแบบนั้น โดยไม่เข้าใจถึง "สภาวะความเป็นสุญตา" ว่ามันก็คือภาวะหนึ่งเท่านั้น มันย่อมยังมีภพ มีชาติอยู่ และไม่่ใช่นิพพาน เพียงแต่มันใช้เป็นเครื่องแก้ความมี, หักลบกลบความมี, สลายความมีมากเกินไป เท่านั้นเอง พอไม่เข้าใจ เอาไปใช้โดยยึดถือว่าเป็นสรณะดังเช่นนิพพานไป (ทั้งๆ ที่สุญตาไม่ใช่นิพพานนะึครับ มันเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น) ผลก็ออกมาครับ คือ ผู้รับธรรมเ้ข้าสู่สภาวะ "สุญตา" เขาเริ่มสูญเสียทุกๆ อย่างไปทีละน้อย จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลย นั่นแหละ สภาวะธรรมที่เรียกว่าสุญตา เขาใช้แ่ค่นิดหน่อยเป็นเครื่องแก้ความมี หักลบกลบความมี มากเกินไปเท่านั้น ไม่่ใช่ให้จมปลักอยู่ในภาวะนี้ กรณีนี้ ผู้รับธรรมมีพลังจิต มันจึงมีผลจริงต่อชีวิตครับ พอจิตเขาตรงสู่ความไร้ อะไรก็ไม่ใช่แล้ว พลังจิตนั้นแหละก่อผลให้เกิดสิ่งนั้น คือ ความไร้ ชีวิตเลย ค่อยๆ หมดไม่เหลืออะไรเลยครับ พอเจอปัญหาแล้วไม่รู้หาทางออกอย่างไร ก็มาโพสกระทู้ให้ช่วยครับ ทว่าเราก็ช่วยเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ศรัทธาเราถ้าเราไปพูดขัดแย้งกับความเชื่อของเขาที่เขาเชื่ออาจารย์ของเขามาก่อนก็ไม่มีประโยชน์อีกครับ ผมก็เลยไม่สามารถช่วยเขาได้ครับ ก็เลยปล่อยไปตามกรรม


ยังมี "ธรรม" อันเป็นเครื่องแก้ หรือเข้าข่ายยาแก้ อีกมากมาย เหมือนยาแรงที่ใ้ช้รักษาโรค ที่ผู้ใช้ควรมีความรู้แจ้ง ว่าควรใ้ช้เท่าไร เมื่อไร มากน้อยเพียงใด ไม่ต่างจากแพทย์ผู้ชำนาญการใช้ยา ย่อมต้องรู้จักยาสารพัดชนิด ใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมได้หมด แต่หากใช้ผิดไปหลงคิดว่า "ยาแก้" หรือ "ธรรมวิถี" หรือ "มรรควิธี" อย่างหนึ่งอย่างใด เป็นสรณะอันแท้แล้ว ก็จะเกิดอาการเสพติดยาแก้, เสพติดธรรมโอสถ พอเสพยามากๆ เข้า ก็จะเกิดผลร้ายแรงตามมาในภายหลังได้ครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทั้งมรรควิธี, ธรรมโอสถ ฯลฯ ทั้งหลายล้วนมิใช่นิพพานเลย เป็นเพียงธรรมเครื่องแก้ อันตรงกันข้ามกับธรรมเครื่องติด ซึ่งบุคคลผู้เสพติดธรรมบางชนิด ควรได้รับการรักษาด้วยธรรมโอสถนั้น ควรได้รับยาแก้นั้นๆ "แต่พอเหมาะพอควร" แต่เมื่อได้รับอย่างไม่ถูกต้อง ก็กลายเป็นทุกข์, เป็นโทษได้ครับ อีกประการหนึ่ง เขาก็ไม่ได้มานับถืออะไรเรา เมื่อจิตเขาไม่มีศรัทธาตรงต่อเรา แต่เชื่อถืออาจารย์ของเขาแล้ว เราก็ไม่อาจจะช่วยได้ครับ เพราะคนเราจะรับธรรมได้ ใจต้องมีศรัทธาผู้ให้ธรรมนั้นก่อน อันนี้ ผมเลยได้แต่เขียนบทความเตือนใจไว้ให้อ่านกันครับ สำหรับบทความวันนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ

6 ความคิดเห็น:

  1. จิม โจนส์
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    จิม โจนส์
    จิม โจนส์ (ค.ศ. 1931 - ค.ศ. 1978) เป็นชาวอเมริกัน เป็นผู้นำการฆ่าตัวตายหมู่ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 900 คน ที่เมืองโจนส์ทาวน์ ประเทศกายอานา ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978


    อ่านต่อได้ที่ ...
    http://th.wikipedia.org/

    ตอบลบ
  2. น่ากลัวจัง ลัทธิพระปัจเจก เผลอๆไปเกิดเป็นพระปัจเจกฯทั้ง 900 คน

    ตอบลบ
  3. เวลาเครียดมาทำไงล่ะ ชอบตอนหัวโล่งเนี่ยแหละ ไม่ต้องมีไรให้คิดมาก

    ตอบลบ
  4. โดนบีบคั้นซะขนาะนี้ ไม่ไหวแล้วล่ะ คงต้องยอมภาคมืดแล้ว.........(ก็แค่ไม่คิดมาก ไม่คิดถึงชีวิตในวันข้างหน้า มันก็ไม่มีอะไรให้เครียดแล้วแหละ)

    ตอบลบ
  5. ถ้ายอมตายเป็นตายมันจะจบนะ มันจะเป็นทางออก แบบไม่เอาในสิ่งนั้นจนในจิตตายอะ แล้ว หมดใจแล้วมันก็เป็นอีกสภาวะที่มันได้แล้วอะอะ

    ตอบลบ
  6. น้าจะเปนคำว่าเกิดใหม่ของเจ้าของกระทู้ สู้นะ ขอให้ได้

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน