วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"ตัวตนภาคทำลาย" ที่แฝงอยู่ในองค์กรของท่าน อาจเป็นโชคให้แก่ท่าน?

โอ้ย แย่แล้วทำไงดี เดี๋ยวนี้จะไปไหนต้องพกเสื้อไปสองตัว ตัวหนึ่งสีแดง ตัวหนึ่งสีเหลือง เวลามีม้อบสีแดงเถือกแ่ห่มานะ เราก็สวมเสื้อสีแดง "อ่ะ รอดตาย" แต่เวลามีม้อบสีเหลืองเข้ามานะ เราก็รีบสวมเสื้อสีเหลืองปั้บ "อ่า ยิ่งกว่ายันต์ศักดิสิทธิ์หลวงพ่อรอดอีก" รอดตายได้จ๊ะ ใครไม่มีสีกะเขา หัวเดียวกะเทียมลีบ กลายเป็นตัวประหลาด กลายเป็นคนผิด คนเลว คนไม่รักชาติไป ไอ้ที่แบ่งพวกตีกันเหลืองแดง จนประเทศจะหายนะ กลายเป็นวีรบุรุษไป อ้าว พวกเขาไม่มีสีเลยต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้นะจ๊ะ สิบอกไห่ จบข่าว ... วกกลับเข้ามาเรื่องของเราดีกว่าครับ บทความนี้ จะกล่าวถึงว่าทำไมต้องมีตัวร้ายหรือตัวตนภาคทำลายเข้ามายุ่งวุ่นวายกะชีวิตเราด้วย เอาละ ผมจะบอกให้ดังต่อไปนี้


เคยสงสัยไหมครับว่่าทำไมพระพุทธเ้จ้าจึงรับ "พระเทวทัต" ไว้ในพระศาสนาอย่างง่ายๆ ทั้งๆ ที่พระเทวทัตทำผิดมากมาย ทั้งพยายามที่จะทำร้ายพระพุทธเ้จ้า, ทำสังฆเภทให้เกิดในพระพุทธศาสนา ฯลฯ แต่พระองค์ก็ยังไม่ว่าิอะไรเลยสักคำ ตรงกันข้าม "พระน้านางปชาบดี" ที่เลี้ยงดูพระองค์มาแต่ครั้งยังเล็กอีกแท้ๆ พระองค์กลับไม่ยินดีที่จะให้พระน้านางฯ บวชเป็นภิกษุณี? ทั้งๆ ที่พระน้างนางฯ ก็ทำดีทุกประการ ไม่มีอะไรผิดพลาดเลย ให้ถือศีลยากๆ ก็ทำได้ทั้งหมดอีกด้วย เอาละ ถ้าคุณยังหลงตาบอดยึดติดความ "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" อยู่ละก็ ยากครับที่จะเข้าใจในสิ่งที่ผมจะอธิบายนี้ได้เพราะว่ามันเหนือกว่าระดับมิติที่คุณยึดอยู่นะครับ อ้อ... ผมไม่ได้บอกให้คุณเป็นมิจฉาทิฐิไปหลงชอบฝ่ายอธรรมก็หาไม่นะ ที่ผมกำลังบอกอยู่นี้คือ "ความหลุดพ้นแ้ล้วจากธรรมสองฝ่ายทั้งธรรมะและอธรรม" ไม่ได้ยึดทั้ง "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" แต่เข้าใจใน "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" ดีกว่าคนที่ยึดอีกครับ นี่แหละ คำว่า "ปัญญา" มันไม่ใช่ความดี, หรือความถูกต้อง ไม่่่ใช่ทั้งความเลวหรือความผิด ไม่ใช่อย่างอื่นใด "นอกจากปัญญา" ครับ เพราะ "ปัญญาก็ืคือปัญญา" จะมาเป็น "ตา" (ชื่อเล่นของคุณปัญญา นิรันกุล) เป็นไปไม่ไ่ด้ เป็นยายก็ไม่ได้อีก เอาละ สรุปว่า มันไม่ได้เกี่ยวว่าอะไร "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" หรอก แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านมี "ปัญญา" ในแบบที่สาวกคนอื่นๆ เขาไม่มีกัน ก็เลยทำให้พระอานนท์ไม่เข้าใจ และทำให้คนที่โง่กว่าพระอานนท์ได้เข้าใจโดยไม่รู้จักคิดหรือสงสัยอะไรเลย ฮ่าๆๆ เอาละ ผมจะมาเฉลยให้ฟังกัน แบบง่ายๆ, สั้นๆ, แบบบ้านๆ เหมือนชาวบ้านคุยกันเลยครับ 


สรุปก็คือ "ทุกสิ่ง, ทุกคนก็คือสิ่งศักดิสิทธิ์" เพียงแต่มีหน้าที่ที่ต่างกัน จึงต้องมาใน "รูปนาม" ที่ต่างกัน ก็เท่านั้นเองครับ เช่น มาในรูปนามแห่งมาร, อสูร, ปีศาจ, ศัตรู, ตัวชั่วร้าย, ตัวทำลาย, ตัวก่อกวน ฯลฯ ได้ทั้งหมดครับ เพราะอะไรถึงเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์กันทุกคนละ? ก็เพราะว่าไม่มีใครที่ไม่มีหน้าที่ หรือไม่มีความจำเป็นต้องลงมาเกิด หรือมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ไงครับ และเพราะเขาทำหน้าที่ที่ต่างกันนั้น เขาึจึงนับเป็น "สิิ่งศักดิสิทธิ์" ไงครับ นี่คือ "กฏแห่งความสมดุลอันเกิดจากองค์ประกอบย่อยที่แตกต่างและหลากหลาย" เท่านั้นเองครับ เอาง่ายๆ นะ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เอาพระเทวทัต ศาสนาท่านจะสิ้นไปเร็วกว่านี้มากครับ แต่ถ้ายอมให้พระเทวทัตทำอะไรได้ตามใจทุกอย่าง เพราะความหลงละก็ "จบเร็วยิ่งกว่าครับ" ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงจำต้องมีพระเทวทัตไว้ ไว้ทำไม? เป็นธรรมชาติของความสมดุลแห่งความแตกต่างและหลากหลายครับ ไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้านะครับ อย่างอื่นก็เหมือนกัน ถ้าคุณเห็นใครไม่ดีมากๆ ไล่ออกไปเรื่อยๆ บางทีองค์กรของคุณก็จะ "อายุสั้นลง" ได้ครับ ดังนั้น เราต้องเคารพภาคอื่นๆ ที่ทำงานตรงข้ามกับเราด้วยครับ ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องไม่หลงเขาไปเสียละครับ ทำหน้าที่ของเราให้ดีั ส่วนเขาก็ทำหน้าที่ของเขาไปไงละครับ


สุดท้ายนี้ "ตัวทำลายหรือตัวร้าย" ก็เป็น "ตัวตนหนึ่งในระบบองค์รวมหลากมิติ" ที่จะขาดไปไม่ไ่ด้ครับ แหม มีหนังเรื่องไหนไม่มีตัวร้ายบ้างละครับ ขาดได้ยังไง ต้องมีครับ ถึงจะครบรสชาติ, สมดุล และดำเนินไปได้อย่างที่ "โลก" ควรจะเป็นครับ ดังนั้น หวังว่าท่านคงจะเข้าใจในบทบาทของตัวตนที่เรียกว่า "ตัวร้ายหรือตัวทำลาย" ด้วยนะครับ ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เม้าท์ด้วยคน