วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปีศาจบำเพ็ญธรรมได้ไหม? ถ้าได้แล้วต่างจากคนอย่างไร?

อ่ะ มีความลับจะมาบอก แบบว่ามันลึกลับมั๊กๆๆ เลยอ่ะ คือ เรื่องการบำเพ็ญธรรมของปีศาจ อั๊ยย๊ะ ฟังแล้วโต๊ะจายโหมะเยย ปีศาจก็สามารถบำเพ็ญธรรมได้ด้วยเหรอ? ได้สิครับ แต่ไม่เหมือนกะคนนะครับ แล้วมันเป็นยังไงละ? เอ้า ก็จะได้เม้าท์ให้ฟังกันอยู่นี่ไงล่า โฮ่ๆๆ 


จิตวิญญาณที่มีระดับมิติที่สูงมากพอจะบำเพ็ญธรรมได้ ก็นับแต่ปีศาจขึ้นไปนะครับ ต่ำกว่านั้นบำเพ็ญธรรมไม่ได้มรรคผล ต้องตายพ้นไปจากชาติภพนั้นก่อนจึงบำเพ็ญธรรมได้ครับ เช่น เปรต, สัตว์นรก สองอย่างนี้ บำเพ็ญธรรมไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานและอสุรกาย บำเพ็ญธรรมได้ครับ เพียงแต่ว่า พวกเขาจะมีวิธีบำเพ็ญต่างจากคน กล่าวคือ ต้องเข้าสู่วิถีเซียน สำเร็จเซียนก่อนจึงได้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เมื่อสำเร็จเซียนแล้ว จิตวิญญาณดวงนั้นจะยังไม่มีร่างมนุษย์ เหมือนเซียนองค์ที่หนึ่ง (ที่ถอดจิตออกจากร่างแล้วร่างถูกเผาไป เลยต้องกลับเข้าร่างขอทานนะครับ) ดังนั้น เมื่อเขาสำเร็จเซียนแล้วก็ต้องหาร่างมนุษย์แล้วกำเนิดใหม่แบบ "โอปปาติกะ" นะครับ ก็จะเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ เหมือนคนปกติได้ แถมยังมีความสามารถพิเศษกว่าคนปกติด้วยครับ


เอาละ แล้วปีศาจแต่ละชนิดเขาบำเพ็ญธรรม เหมือนคนมั้ย ต่างกันอย่างไร ต่างกันครับ แต่ละชนิดก็บำเพ็ญต่างกัน เช่น ปีศาจ "งูขาว" ก็มีพระโพธิสัตว์กวนอิมมาบอกวิธีบำเพ็ญธรรมให้ว่า "เมื่อเกิดความรักที่แท้จริง" เขาก็จะบรรลุเซียนได้เป็นมนุษย์ครับ, ปีศาจค้างคาว (ผีดูดเลือด) นั้นจะต้องดูดซับไอฟ้า ไอดิน จะดูดเลือดสัตว์ไม่ได้ จนกว่าจะสำเร็จเซียนครับ, ปีศาจอื่นๆ ก็มีวิถีความเป็นอยู่ และอิทธิฤทธิ์ต่างกันไปจำต้องเดินตามแนวทางของตนปรับนิดหน่อยเพื่อการบำเพ็ญธรรมครับ ทำให้วิถีการบำเพ็ญธรรมต่างกัน ปกติ ก็อาจแฝงร่างมนุษย์ก่อน หาสังขารมนุษย์ได้แล้ว ก็อาศัยร่างนั้นบำเพ็ญธรรมควบคู่กันไปครับแบบนี้ ค่อนข้างง่ายและมีโอกาสได้สูงกว่าครับ เพราะสามารถใช้่ร่างมนุษย์สร้างบุญบารมีช่วยส่งเสริมอีกแรง (บุญบารมีเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ แต่ปีศาจทำได้ยากครับ) ในสัตว์เดรัจฉานก็บำเพ็ญธรรมได้ครับ เช่น สัตว์บางชนิดก็จำศีลนานๆ ก็ได้ตบะครับ สัตว์บางชนิดก็ให้ทานแก่มนุษย์ด้วยการให้เลือดเนื้อแก่มนุษย์ครับ ดังนั้น อย่าเพิ่งไปมองว่าการกินเนื้อสัตว์ เลวร้ายหรือผิดเสมอไปครับ บางครั้ง มันอาจเป็นวิถีทางการบำเพ็ญบารมีของสัตว์เดรัจฉานชนิดนั้นๆ ก็ได้ครับ 


เอาละ ปีศาจนอกจากจะบำเพ็ญเซียนจนได้เป็นมนุษย์แล้ว ก็ยังเป็น "เทพ" ก็ได้ครับ กรณีนี้บำเพ็ญง่ายกว่า น้อยกว่า แต่ได้ระดับต่ำกว่านะครับ เมื่อสำเร็จเป็นเทพแล้ว ก็ไม่ต้องมีร่างสังขารเป็นมนุษย์ก็ได้ครับ เป็นจิตวิญญาณที่มีตำแหน่งเป็นเทพ ก็เท่านั้นเอง เอาละ บทความนี้่เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ เพลินๆ เป็นนิทานนะครับ ที่เหลือลองไปรู้เอง ก็จะได้รู้ในมุมที่แตกต่างจากผมนะครับ ขอจบลงเท่านี้ สวัสดีครับ   

9 ความคิดเห็น:

  1. ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ผู้บำเพ็ญต้องอยู่ในมิติของ
    มนุษย์ขึ้นไปจึงบำเพ็ญได้มรรคผลนะครับ แต่สัตว์ใน
    อบายภูมิสี่นั้น บำเพ็ญธรรมของพระพุทธเจ้่าไม่ไ่ด้ ที
    นี้ถ้าเราจะโปรดสัตว์ในอบายภูมิสี่นี้จะได้สองพวกครับ
    คือ ๑. สัตว์เดรัจฉาน ๒. อสุรกาย หรือปีศาจต่างๆ นั่น
    เอง ถามว่าทำไมเราต้องโปรดเขาละ? อ้าว ในเมื่อเรา
    มีพระพุทธเจ้า, พระอรหันตสาวกแล้ว ท่านก็โปรดสัตว์
    ระดับบนไป เราก็ฉุดดึงสัตว์เบื้่องล่างขึ้นมาปั้น ส่งต่อให้
    ท่านสิ ไม่ต้องไปทำหน้าที่แทนท่านแล้ว ใช่มั้ยละครับ


    เมื่อเราปูฐานให้ท่านอย่างนี้ ที่เหลือท่านก็ทำต่อเองละ
    ครับ ผมเลยเขียนบทความเรื่องการบำเพ็ญธรรมของ
    ปีศาจให้ไว้ เพราะนี่คือ "หน้าที่ที่ตรงทางที่สุด" ในการ
    ช่วยทั้งสัตว์ทั้งหลายและพระพุทธศาสนา นั่นเองครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่แวะไปดูบั้งไฟพญานาคเหรอครับ

    ตอบลบ
  3. ไม่ได้ไปไหนไกลเลยครับ


    ต้องประหยัดน่ะครับ ถ้าไปก็
    จะมีค่าใช้จ่ายเยอะ จริงๆ ก็
    ไม่ใช่คนประหยัดเท่าไร แต่
    ไม่มีรายได้เป็นของตัวเองก็
    เลยต้องประหยัดครับ

    ตอบลบ
  4. เทพทั้งหลายของฮินดูมีจริงไหม เช่น พระศิวะ พระอุมา

    ตอบลบ
  5. สัมผัสด้วยหัวใจของคุณเองสิครับ
    มันน่าอัศจรรย์กว่าให้ผมบอกนะ


    ...

    ตอบลบ
  6. สัมผัสด้วยหัวใจของคุณเองสิครับ
    มันน่าอัศจรรย์กว่าให้ผมบอกนะ

    สัมผัสด้วยหัวใจไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ เพราะไม่เคยสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทำไมฝันว่าตัวเราเป็นอุมาเทวีบ่อยจัง ในความฝันมีคนเรียกเราว่าอุมาเทวี บางคนก็เรียกองค์แม่เจ้าอ่ะ บางทีในฝันเรามีอาวุธดาบด้วย บางทีก็เป็นอาวุธคล้ายสามง่าม จะเป็นฝันเพ้อเจ้อได้มั้ยเนี่ย ถ้าฝันครั้งเดียวพอว่า นี่ฝันหลายหนแล้วอ่ะ อ้อ แล้วมีสัตว์เลี้ยงเป็นสิงโตตัวล่ำบึ้กด้วย

    ตอบลบ
  7. ก็ใช้ได้ครับ สัมผัสผ่านทางความฝัน


    แม้ว่าจะไม่ใช่ทางอายตนะทิพย์หรือ
    การสัมผัสได้ด้วยใจ แต่บางคนอาจ
    สัมผัสได้ทางฝัน ก็ใช้ได้ครับ


    ขั้นต่อไปก็คือ การเปิดประตูมิติแห่ง
    ความจริง ซึ่งคุณจะต้องก้าวผ่านด่าน
    "ความฝัน" ไปให้ได้ ไม่ให้ความฝัน
    ขวางกั้นคุณได้ คุณก็จะพบความจริง
    ในมิติหนึ่งที่ใช้ "ความฝัน" เป็นประตู
    เข้าไป นั่นเองครับ ...

    ตอบลบ
  8. ขั้นต่อไปก็คือ การเปิดประตูมิติแห่ง
    ความจริง ซึ่งคุณจะต้องก้าวผ่านด่าน
    "ความฝัน" ไปให้ได้

    รู้สึกเริ่มน่าสนใจขึ้นมาแล้วค่ะ ต้องทำยังไงเหรอคะ ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ....

    ตอบลบ
  9. เริ่มจาก "ความเ่ชื่อ" ก่อนครับ เราเชื่อว่ามีความจริง
    รออยู่เบื้องหลัง "ความฝัน" ทีนี้ เราก็จะพยายามที่จะ
    ไปสู่จุดนั้นให้ได้ เราจำเป็นต้อง "ลองผิดลองถูก" ครับ
    เช่น ลองดูว่า "อันนี้ ที่ได้มาจากฝัน ลองหยั่งดูไปแล้ว
    เข้าใจอย่างนี้ๆ อาจจะถูกไหม? ใช่ไหม?" เราไม่รู้ แต่
    ทุกอย่างพิสูจน์ได้ครับ เราก็ใช้ "เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์"
    สิครับ ดูว่ามันจะจริงบ้างไหม? เมื่อเวลาผ่านไป แต่มัน
    ก็ควรจะมีขอบเขตนะครับ ไม่ใช่รอตลอดไป เผื่อฟรุ๊คก็
    ว่ามันจริงไปเลย อันนี้ ไม่น่าจะใช่ อย่างของผม ลองดู
    ก็ใช้เวลาพิสูจน์ไม่นานครับ เห็นจริง เห็นผล พิสูจน์ได้
    ไม่นานเกินไป อย่างนี้ ผมก็โอเคไงครับ


    กระบวนการลองผิด ลองถูก และการใช้่เวลาเป็นเครื่อง
    พิสูจน์ อาจช้านาน ต้องอดทนรอ และต้องพยายามอยู่
    หลายครั้งก็จริง แต่มันใช้ได้กับ "ทุกคนครับ" ไม่ว่าเขา
    จะแย่แค่ไหน? หรือไม่มีญาณหยั่งรู้อะไรเลย แต่นี่ละที่
    จะทำให้ "อภิญญาเป็นสากล" ได้ไงละครับ


    ผ่านกระบวนการเหล่านี้ จะทำให้เราพัฒนาขึ้น เมื่อเรารู้
    แล้วว่าไม่ใช่ เวลาเฉลยให้เรารู้ เราก็ "ไม่ยึดแล้วพร้อม
    ที่จะปล่อยมันไป และเปลี่ยนความเชื่อ วิธีคิด และการ
    ทำงานของเรา" ครับ อะไรที่ใช้ได้ ก็เอาไปใช้ต่อไป ก็
    จะเกิดการ "พัฒนาขึ้นมาเอง" มันก็จะแม่นยำเองนะครับ

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน