วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อยู่กับรูปเคารพอย่างไร ไม่ตกเป็นทาสของซาตาน?

สวัสดียามเช้าครับ อ่ะ วันนี้ได้ประเด็นหนึ่งมาเม้าท์ละ คือ เรื่อง "รูปเคารพ" ซึ่งหมายรวมทั้ง เทวรูป, รูปปั้น, รูปหล่อ ฯลฯ ทั้งหมด ที่คนนำมาเคารพบูชานะครับ คำถามคือ เราควรจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างไรดี แน่นอนครับ "ผู้มีปัญญาย่อมเห็นทางสายกลาง" ไม่ใช่พวกสุดโต่งที่คิดทำลายล้างรูปเคารพไปซะหมด ในขณะเดียวกันก็เข้าใจและไม่ถูกครอบงำโดยรูปเคารพนะครับ เช่น เขาก็ปรับตัวอยู่กับรูปเคารพได้ เหมือนกับคนอื่นๆ ในประเทศนั้น แต่เขาไม่ได้หลงนะึครับ ทีนี้ มาดูคนที่ "สุดโต่ง" กันบ้าง ว่าสุดๆ ไปทางไหนกัน มันก็มี ๑. พวกสุดโต่งแบบต่อต้านและคิดทำลายล้างไปเลย อันนี้ก็เหนื่อยหน่อยเพราะ้ต้องไปทะเลาะกับชาวบ้านเขา ที่เขาเชื่อถือกันแบบนั้น ๒. พวกสุดโต่งที่หลงยึดมั่นรูปเคารพมากเกินไป อันนี้ คงไม่ต้องอธิบายนะครับ เพราะคิดว่าท่านคงเข้าใจได้ไม่ยาก อ่ะ แล้วยังมีอีกพวกหนึ่ง คือ "สุดโต่ง" โดยการไป "ใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นพวกบูชารูปเคารพ" เช่น เห็นคนที่มีการปรับตัวอยู่ได้กับสิ่งเหล่านี้ (โดยไม่หลง) เหมาว่าเขาเป็นพวกบูชารูปเคารพไปด้วย (โดยไม่มามองให้ลึกซึ้งจริงๆ พอเห็นเขากราบไหว้ก็หาว่าเขาหลงไปซะแล้ว?) แล้วยังมีอีกพวกหนึ่ง ตัวเขาทำเหมือนไม่ได้บูชารูปเคารพ ไม่ไหว้ ไม่อะไร แต่ "ใจกลับเป็นพวกบูชารูปเคารพเต็มๆ เลย" อันนี้ ดูออกยาก ยังไงละครับ? เช่น ทำตัวเปลือกนอกเป็นคนไม่บูชารูปเคารพ แต่ในใจต้องการอย่างนั้น อยากได้อย่างนี้ แล้วก็ได้ประจำ ถามว่าได้เพราะอะไร? เพราะพลังงานในรูปเคารพนั่นหละที่ทำให้ มอบให้ แล้วเขาก็ยินดีรับเลย อันนี้ ก็มีนะครับ ดังนั้น เีี่ราจะไปเหมาเอาว่าคนที่ไหว้รูปเคารพ เขาหลง ก็ไม่ได้ เขาอาจจะไหว้ไปตามประเพณี ก็แค่นั้น ตรงข้าม คนที่ไม่ไหว้ แต่ใจมันหลงไปแล้วก็มี อย่างที่บอก เช่น เป็นพวกมีใจร้องขอสิ่งศักดิสิทธิ์ให้ช่วยทำอย่างนั้น อย่างนี้บ่อยๆ ทีนี้ พอสิ่งศักดิสิทธิ์ยังไม่ทันทำอะไรให้เลย ซาตานมาทำให้ก่อน เขาก็ยอมรับไปเลย ไม่ทันรอดูว่าเขาได้รับจากอะไร ด้วยความที่ประมาท คิดว่าตนไม่บูชารูปเคารพ และหลงตัวเองว่าตนมีบุญมากไงครับ ก็เลยคิดเอาว่าทุกอย่างที่ตนได้รับ มันมีสาเหตุมาจากผลบุญเสมอไป ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ เหมารวมอย่างนั้น ไม่ได้ครับ เพราะบางอย่างก็มีจาก "ภาคมืดหรือซาตาน" หยิบยื่นให้เหมือนกัน แล้วพอเขาไม่ทันพิจารณาก็หลงคิดว่าเป็นบุญของตัวเองแล้วก็เลยรับไปครับ 


เอาง่ายๆ นะ คนไทยเราก็กราบไหว้บูชารูปเคารพกันมากมาย ท่านว่าคนที่หลงกับคนที่ไม่หลงมีเท่าไร? มันก็ปนๆ กันนั่นแหละ ใช่ไหมละครับ เช่น ร. ๕ ก็ไหว้ "พระสยามเทวาธิราช" ทุกวัน เอาไว้ที่หัวนอนด้วย (ท่านอ่านประวัติได้เลย) แล้วเราดูทีวีก็ได้ คนไทยตั้งแต่รากหญ้าถึงยอดพีรามิด ก็ต้องคล้อยตามประเพณีไหว้รูปเคารพกันทั้งนั้น แต่เราจะไปทราบได้อย่างไรว่า "ใครหลง ใครไม่หลงละ" ใช่ไหมละครับ คนบางคนทำเป็นแสร้งไหว้ไปงั้นๆ เพราะต้องออกงาน ตามพิธีต่างๆ เดี๋ยวจะผิดไปจากคนไทย ทำเหมือนว่าไม่หลง แต่ที่ไหนได้ก็โดนเข้าเต็มๆ เลยก็มี คือ เปลือกนอกเหมือนไม่อยากไหว้ ทำแสร้งๆ ไหว้ไป แต่ในใจ "ร้องขอ" อยู่เรื่อยๆ ครับ ทำให้ภาคมืดหรือซาตานได้ช่อง เอานั่น เอานี่มาให้ประำจำ (สังเกตุว่าสิ่งที่เอามาให้ มันจะเกินไปหน่อยไม่ใช่ของเล็กๆ น้อยๆ อาหารเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตำแหน่งสูงๆ ที่ไม่ควรจะได้รับ ก็ดันได้รับ) แล้วเขาก็ยินดีรับ แม้ว่าเปลือกนอกจะดูเหมือนไม่หลงเวลาไหว้รูปเคารพก็ตามแต่ "ใจเต็มไปด้วยการร้องขอ" แบบนี้ "หลงเต็มเปา" เลยครับ ไม่้ต้องไปว่าใครอื่นเลย ดูที่ผลออกมาสิครับ คนที่ไม่หลง ชีวิตมันก็ปกติ เรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษหวือหวา ต่อให้ไหว้ ก็ไหว้ไปตามประเพณี ไม่ได้ยึดอะไรหรอก ส่วนคนที่ไม่ไหว้ที่คิดว่าตัวเองไม่หลงนั้น ถ้าใจร้องขอ อยากได้เรื่อยๆ มันก็จะได้ "อะไรที่มากเกินกว่าที่ควรจะได้รับ" ครับ นั่นแหละ เปลือกนอกดูไม่หลง แต่ใจมันหลงเต็มเปาไปแล้ว แม้ไม่ไหว้รูปเคารพ แต่เสร็จซาตานไปแล้ว


เอาละ ทีนี้ เราจะอยู่กับรูปเคารพอย่างไรละ? ถ้าเรามีปัญญาเข้าใจซะอย่าง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เราจะปรับตัวได้ เขาไหว้กันเราก็ไหว้ไปงั้นๆ ไม่ได้ใช้พลังจิต หรือร้องขออะไรๆ ก็เหมือนก็เราทำท่าอะไรสักอย่างหนึ่ง การยกมือขึ้นประนมนี่ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการยกมือเกาหัว หรืออะไรต่อมิอะไรหลายท่า ถ้าไม่ยึดนะครับ แต่ถ้าหลงอยู่ แม้ไม่ได้ยกมือขึ้นไหว้รูปเคารพ แต่ใจร้องขอบ่อยๆ มันก็โดนภาคมืดหรือพวกซาตานครอบงำแน่นอนครับ ดังนั้น ถ้าคนไทยไหว้รูปเคารพโดยใจไม่ยึดนะ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าฝรั่งไม่ยอมไหว้รูปเคารพแต่ใจมันหลง นี่ ก็ต้องลองเอาไปคิดดูละ อย่าไปยึดติดแต่แค่ "ท่าทางที่เห็นคนยกมือขึ้นประนม" เท่านั้น มันสำคัญที่ "ใจ" ตะหากเล่า ...    

5 ความคิดเห็น:

  1. ใครใคร่บูชาจงบูชาด้วยความศรัทธาอย่าหลงงมงาย ใครไม่บูชาก็เรื่องของเขาอย่าไปก้าวก่ายให้ร้ายสร้างความเกลียดชัง หนักกว่านั้นจะฆ่าแกงกันให้ตายกลายเป็นลัทธิล่าแม่มดไป

    ตอบลบ
  2. เรื่อง "ลัทธิล่าแม่มด" นี่น่าศึกษามากนะครับ


    เพราะในประวัติศาสตร์มีอยู่จริง อย่างเช่น ถ้า
    นาย ก. อยากเล่นงานฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ได้
    อำนาจทางการเมือง เขาอาจใส่ร้ายว่าศัตรูของ
    เขาเป็นพวกพ่อมด หมอผี บูชาซาตานอะไรนั่น
    แล้วก็ครอบงำให้คนเชื่อว่าการที่เขาเล่นงานคน
    นั้น "ไม่ผิดอะไรเลย" เหมือนกับว่าใส่ร้ายฝ่าย
    ตรงข้ามแล้ว จะทำอะไรกับเขาก็ได้ มันก็เลย
    กลายเป็น "ลัทธิล่าแม่มด" ซึ่งตัวคนทำเองนั้น
    ใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็น "ลัทธิประหลาด" แต่สิ่งที่
    พวกเขาทำนั้นละ? ไม่ใช่ลัทธิเช่นกันหรือ?


    เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากครับ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  3. เหตุการณ์ประวัติศาสตร์เดือนตุลาคนบริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายมากมาย เพราะคนอีกกลุ่มหนึ่งถูกใส่ความเชื่อลงไปว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป

    ตอบลบ
  4. ประวัติศาสตร์ ก็มีโอกาสซ้ำรอยได้เหมือนกัน
    แต่บางอย่าง มันก็ไม่ควรจะซ้ำบ่อยๆ เพราะไม่
    ใช่ของดี ราวกับว่ามันมี "ทายาทอสูร" สืบทอด
    ต่อเลย มันเลยเกิด "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย" ...

    ตอบลบ
  5. โหหหหหหหหหหหหหหหหห

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน