วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำบุญหวังผลชาติหน้า ก็คือ ความหลงผิดในกาลเวลาอย่างหนึ่ง?

สวัสดียามค่ำครับ มาพบกันอีกแล้วก่อนนอนหลับพักผ่อน วันนี้ผมมีเรื่องมาเม้าท์เล็กๆ เป็นเรื่องของคนหลงบุญ และคิดว่าบุญคือคำตอบ ซึ่งแท้แล้วมันไม่มีสาระอะไร มันไม่ต่างกันหรอกครับระหว่างบุญและบาปกรรม เพียงแต่มันมีหน้าที่คนละอย่าง ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ สำหรับคนที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็เท่านั้นเอง เหมือนแขนซ้ายและแขนขวาของเรา ที่ต้่องมีคู่กัน ก็เท่านั้นเอง เอาละ ผมจะค่อยๆ เม้า์ท์ให้ฟังก็แล้วกัน จะได้ช่วยคลายหายความหลงบุญกันบ้าง ดังนี้ครับ


อย่างที่ผมเคยได้บอกในบทความเก่าว่าการทำบุญนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีจริง เพราะอะไร? เพราะมันให้ผลเมื่อสะท้อนย้อนกลับ ซึ่งต้องใช้เวลานาน เมื่อถึงเวลาที่ท่านได้รับ ท่านก็อาจเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม ตายแล้วเกิดใหม่ ชาติใหม่ รสนิยม ความชอบ ก็เปลี่ยนไปแล้ว พอถึงเวลาที่ได้ผลบุญออกมาแล้ว ก็อาจเป็นสิ่งที่ท่านไม่ได้ต้องการก็ได้ ดังที่เคยยกตัวอย่างว่า ผู้หญิงทำบุญปรารถนาจะได้ผู้ชายดีๆ ครองคู่ พอเกิดชาติใหม่ได้เป็นผู้ชาย ก็กลายเป็นว่าต้องมาเสวยผลบุญได้คู่เป็นผู้ชายไป นี่ชัดเจนเลยครับ ดังนั้น ท่านควรเข้าใจเสียใหม่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำบุญหรือหลงบุญ ท่านบอกแต่เพียงว่า "บุญกรรมมีผลจริง ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ทำดีก็ได้ดี ทำัชั่วก็ได้ชั่ว" แต่มันไม่มีสาระกับท่านแล้ว ท่านกล่าวว่า "ท่านลอยบุญลอยบาปแล้ว" กล่าวคือ ไม่เอาแล้วทั้งบุญและบาป เพราะอะไร? เพราะมันเป็นเครื่องปรุงแต่งสร้างชาติภพใหม่ให้ต้องไปเกิด ไปเสวยอีก ไม่สิ้นสุดนั่นเอง ดังนั้น ท่านจึงไม่้ต้องการบุญ ไม่ได้หลงบุญ และมีทัศนคติที่ "เป็นกลางต่อทั้งบุญและบาป" คือ เฉยๆ กับทั้งบุญและบาป ไม่ได้เอนเอียงไปเข้าข้างบุญหรือบาป ในขณะที่บางคนไม่เข้าใจ ก็คิดไปว่าพระพุทธเ้จ้าสั่งสอนให้ทำบุญมากๆ จนไปพูดกันกันว่าทำความดี ละความชั่ว นั่นเพราะเขามีความเข้าใจผิดในความดี, ความชั่ว, บุญ และบาป ทำให้มีทัศนคติที่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งที่เขาคิดว่าดีกว่านั้นๆ ทั้งที่จริงแล้วท่านไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย แต่ก็มีความจริงอยู่ที่ว่า "คนบางคนปรารถนาจะสร้างบุญบารมี" กับพระพุทธเจ้า เขาก็ต้องมาเกิด มาทำบุญ มาทำบารมีของเขา เช่น มาเป็นองค์อุปถัมภ์ มาสร้างวัดให้ท่าน เป็นต้น


ทีนี้ ผมจะบอกให้ท่านเข้าใจใหม่ถึงเรื่องบุญกรรม สรุปสั้นๆ ว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องไปเอนเอียงเข้าข้างไหน ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น และไม่ต้องไปทำบุญเพื่อหวังว่าจะได้ผลบุญอะไรในชาติข้างหน้า คนที่ทำบุญแล้วสบายใจอันนั้นก็อย่างหนึ่ง คือ ทำเอาความสบายใจก็เท่านั้นเองแต่เรื่องบุญนี้เป็นเรื่องของกฏการสะท้อนกลับของพลังงาน คุณจะทำเพื่อให้คุณได้ดังใจหวังนั้น อย่าเลย เพราะความต้องการคุณก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว มันจะกลายเป็นว่าคุณทำวันนี้ หวังเอาวันหน้า แต่ว่าใจคุณก็เปลี่ยนไปแล้ว สุดท้าย คุณอาจไม่ได้ต้องการเมื่อถึงเวลารับผลบุญนั้นๆ ดังนั้น ผมจึงขอสรุปง่ายๆ เลยว่า คนที่ทำบุญหวังรับผลบุญข้างหน้านั้น เป็นพวก "สับสนในกาลเวลา" แทนที่จะทำสิ่งที่ควรทำ ณ ปัจจุบัน เพื่อทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นว่าทำ ณ ปัจจุบันเพื่อหวังผลในอนาึคต นี่แหละ "หลงเวลา" ถ้าคุณไม่หลงเวลา คุณจะเข้าใจว่าทำเลย ณ ปัจจุบันนี้ละ เพื่อทั้งหมดทั้งมวล ทั้งอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต ที่เรียกว่าทำแบบ "Whole in once" (ทั้งหมด ณ ฉับพลัน) นั่นคือ คุณจะทำกรรมที่เรียกว่า "บุญหรือบาป" ก็ได้ทั้งนั้น ภายใต้กฏที่ว่าทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น บางครั้งคุณอาจต้องทำบุญบ้าง แต่บางครั้ง คุณอาจต้องทำกรรมบ้าง นี่ไม่ใช่เอาไปคิดเ้ข้าข้างตัวเองโดยการ อ้างเป็นเหตุผลแก้ตัวเวลาทำบาปนะครับ เพราะบางคนไม่เข้าใจและคิดเอาเองว่าตัวเองเข้าใจแล้ว เลยไปทำบาปซะตามใจตัวเองไปเลย ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ได้บอกให้คุณทำอย่างนั้นเลย ที่ผมบอกว่าบางครั้งเรา้ต้องทำบาปบ้าง เพราะอะไร? เพราะบาปนี่แหละ ที่จะช่วยทำให้เราไม่หลงตัวเองได้ ถ้าเรามีแต่บุญเสวย ไม่มีบาปมาถึงตัวเราเลย เราก็จะหลงตัวเองแบบกู่ไม่กลับ ซึ่งมันจะยิ่งทำให้แย่ลงไปใหญ่


เอาละ ถ้าคุณยังไม่ใจร้อนรีบนิพพานและยังไม่หลงตัวเองเกินไปว่าจะนิพพานได้จริงๆ คุณพอเข้าใจตัวเองว่ายังมีชาติภพไปข้างหน้าอีก ก็ควรเข้าใจถึง "ศิลปะในการปรุงแต่งบุญบาป" ให้คุณได้มีทั้งส่วนบุญและบาปที่พอดี และทำให้เหมาะสมกับการเวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่หลงตัวเองเกินไป และไม่อัตคัตขัดสนจนเกินไป มันก็เหมือนกับการผสมสีที่หลากหลายแล้ววาดลงบนผืนผ้าใบนั่นแหละ มันก็ต้องมีทุกสี ขาวบ้าง, ดำบ้าง ฯลฯ ครบหมดละครับ ความสำคัญมันจึงไม่ได้อยู่ที่สีอะไร (บุญหรือบาป) แต่มันอยู่ที่การรู้หน้าที่ของตน แล้วทำหน้าที่ของตนให้เหมาะสมแม้ว่าในการทำหน้าที่นี้อาจจะต้องทำทั้งบุญหรือบาปก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ "ภาพรวม" จะออกมาเหมาะสม, พอดี, พอควรหรือไม่ ก็เท่านั้นเอง เช่น ถ้าท่านเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อุปฐากพระพุทธเ้จ้า ท่านก็ควรจะทำไม่ใช่มัวไปสร้างบุญอะไรอย่างอื่นเสียมากมายจนลืมหน้าที่ของตนเองไป สำหรับบทความนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ...

6 ความคิดเห็น:

  1. การทำบุญหวังผลชาติหน้า เป็นลักษณะหนึ่งของผู้ที่ยังไม่พ้นจากมิติที่สาม ยังไม่อาจเหนือกาลเวลาได้ครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่รู้จะไปเริ่มต้นจากอะไรดี..............

    ตอบลบ
  3. เริ่มจะไม่มีความสุขกับชีวิตในปัจจุบัน

    ตอบลบ
  4. ไม่เห็นมีคนมาจูนทำกิจเลย..........

    ตอบลบ
  5. แสดงว่า เรายังมีโอกาสเลือกสองทางครับ


    ๑. เป็นผู้ตาม รอให้ใครสักคนมาจูนทำกิจ
    แต่ผมคิดว่า คุณอาจจะปฏิเสธเขาก็ได้ครับ

    ๒. เป็นผู้นำ คิดเอง ทำเอง ริเริ่มงานของ
    ตนเองเหมือนเถ้าแก่เริ่มกิจการของตนครับ


    หรือว่าอยากลองทำเว็บร่วมกับผมละ?

    ตอบลบ
  6. ปฏิเสธเหรอ ก็เกือบจะพร้อมแล้วแหละ 5555

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน