วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เตรียมพร้อมสู่ “ยุคแห่งเทพ” ตอนที่ ๑ : ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพลังเทพ

เอาละ ไหนๆ เราก็จะเตรียมพร้อมเข้าสู่ “ยุคแห่งเทพ” และการเลื่อนระดับสู่มิติที่ 7 กันแล้ว เราก็มาปูพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับ “พลังเทพ” กันหน่อยนะครับ เพราะมีคนมากมายที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับเทพ ถามว่าทำไมเข้าใจผิดได้ละ? คำตอบง่ายมากเลยครับ “จงจำไว้ว่า ที่ใดมีเทพ ที่นั่นมีมาร” เป็นของคู่กันครับ เมื่อใดที่พลังเทพเชื่อมโยงมาสู่ท่านแล้ว พลังมารก็จะตามมาด้วยครับ และพลังมารนี่แหละที่คอยครอบงำ ดลจิตดลใจให้เราเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทพ คอยยุยงส่งเสริมให้เรามองเทพอย่างผิดๆ อยู่ตลอดเวลา สารพัดวิธี มากมายเหลือคณานับ มันเลยกลายเป็นความเข้าใจผิดของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเทพ มากมายหลายประการเลย ผมอยากจะเตือนทุกท่านว่าถ้าท่านไม่พร้อม ใจไม่กว้างพอ และไม่มีศรัทธาตรงต่อเทพจริงๆ “จงอย่าประสานเชื่อมโยงหรือคิดติดต่อกับเทพเลยครับ” เพราะทุกครั้งที่ท่านทำ จะมีมารมาคอยคุมและยั่วยุ ดลจิตดลใจอยู่ตลอดให้ท่านเข้าใจผิดได้มากมาย และคนส่วนใหญ่ มากกว่าครึ่ง เชื่อมารมากกว่าเทพครับ นี่คือความจริง 


ดังนั้น เมื่อท่านคิดติดต่อกับเทพ ท่านอาจพลาดและกลายเป็นเหยื่อของมารในที่สุด ดังนั้น “อย่าทำเลยครับ ถ้าคุณไม่พร้อม และใจไม่กว้างพอ” เพราะมารมักมาในรูปแบบที่ท่านนิยมชมชอบ, ท่านเชื่อถือศรัทธาและเทพมักมาในแบบที่ท่านไม่นิยมชมชอบ หรือไม่เชื่อถือศรัทธา เอาละ ผมจะช่วยบอกท่านสักนิดแล้วกันเพื่อให้ท่านเข้าใจพลังสายเทพว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับพลังสายเทพมากขนาดไหน เป็นตัวอย่าง พอสังเขป ดังต่อไปนี้ ...


๑.    เทพที่ประสานพลังกับมนุษย์ จะมาจากเทพชั้นล่างคือชั้นที่หนึ่ง ดังนั้น จะไปเทียบกับเทวดาชั้นที่หก อย่างมาร เป็นไปไม่ได้ คนหลายคนหลงใหลมาร เพราะเขามาจากที่สูง เขาจึงมีมารยาทดี เป็นผู้ดีมากๆ น่าเชื่อถือ น่าเคารพ ศรัทธามากๆ ทว่า เขาคือ มาร แต่เทพที่มาจากชั้นล่างๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับชนชั้นล่างที่เซอร์ๆ พูดจาเหมือนคนบ้านนอกๆ  ดุดัน ไม่มีมารยาทอะไรแบบนั้น ทว่า เทพก็คือ เทพนะครับ หลายท่านถูกมารครอบงำได้เพราะใจห่างจากเทพ ด้วยเหตุนี้ เพราะหลงใหลแต่เปลือกนอกของ “ดงผู้ดี” นั่นเอง

๒.   เทพส่วนใหญ่มีพลังธาตุไฟ น้อยมากจริงๆ ที่จะมีพลังธาตุน้ำ ดังนั้น เทพทั้งหลายจะมีพลังที่ร้อนแรง, รุนแรง, ดูดุดัน, ดูก้าวร้าว และดูเหมือนนักเลงได้ คนส่วนใหญ่ก็จะตำหนิและมองว่า “เป็นตัวร้าย เป็นคนเลว” โดยที่ยังไม่ทันดูให้ลึกซึ้งก่อน เพราะตัดสินคนจากเปลือกนอกไปแล้ว นั่นเอง คนมากมายจึงหลงมารและถูกมารครอบงำได้ง่ายเพราะมาร ดูเหมือนคนดี, พูดจาดี, ไม่มีกริยาก้าวร้าว, ไม่มีอารมณ์รุนแรงออกมา (เก็บแค้นได้ดี)

๓.   เป็นธรรมดาของจิตวิญญาณ ที่จะมีพลังแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ฝืนหรือผิดไปจากธรรมชาติไม่ได้ เช่น เทพที่มีธาตุไฟ ย่อมเป็นคนดุดัน, ก้าวร้าว, อารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง แต่เขาไม่ใช่คนเลว ต้องมองลึกๆ ครับ อย่าหลงแต่เปลือกนอกของคน และเป็นธรรมดาของมาร ที่จะมีเปลือกนอกดูน่าเชื่อถือ, น่าเคารพ, น่าศรัทธา, น่ารักใคร, น่าเลื่อมใส ธรรมชาติเหล่านี้ ถ้าท่านไม่เข้าใจ ดูไม่ออก ก็จะถูกมารหลอกเอาได้ครับ

๔.   เทพไม่ใช่พรหมฤษี และมีลักษณะต่างจากพรหมฤษีมาก คนหลายคนหลงยึดติดเหนียวแน่นกับ “ภาพลักษณ์ที่น่าเลื่อมใสของพรหมฤษี” พอมาพบเทพ, สัมผัสพลังเทพ ก็จะมีจิตต่อต้าน และมองว่าเทพเลวร้าย ดุร้าย หรืออารมณ์รุนแรง โกรธง่าย ซึ่งต้องเข้าใจว่าเขาไม่ใช่อรหันต์ ไม่ใช่ฤษี จะเอา “มโนภาพ” ของฤษี หรืออรหันต์มาใช้กับเทพ ไม่ได้ คนที่ยึดติดเช่นนั้น ถ้าพบเทพแล้วมีจิตเป๋ออกไป จะเข้าทางมารๆ จะครอบงำได้ ทันทีครับ

๕.   เทพไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ไม่จำเป็นต้องผ่อนปรนมีเมตตา ช่วยใครต่อใคร แต่ต้องทำตามหน้าที่ตรงไปตรงมา นอกคอกไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเห็นเทพไม่ช่วยเหลือคน ไม่ช่วยเหลือใคร ก็อย่าเพิ่งคิดว่าเขาเป็นมารไปซะละ อย่าปล่อยให้ “มารครอบงำหรือดลใจได้บ่อยๆ” ถ้าคุณเกิดความคิดอะไรขึ้นในหัว อย่าเพิ่งเชื่อทันที เพราะนั่นอาจมาจากมารดลใจได้ ให้ลองพิจารณาก่อนสักครู่ ให้รอบคอบ แล้วจึงค่อยตัดสิน อย่าเชื่อความคิดตัวเองง่ายไป


เอาละ ที่ผมยกตัวอย่างมานี้ เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น จงจำไว้ว่า “มารมักดลจิตใจท่านในเรื่องที่ท่านมักเชื่อได้ง่ายและยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว” เพราะการดลใจแบบนี้ ง่ายดี เช่น ถ้าผมจะหลอกคุณให้ผิดใจกับพระรูปหนึ่งที่ดีมาก แต่มีเปลือกนอกเป็นคนไม่สุภาพเรียบร้อย ผมก็เอาจุดนี่ละ ไปดลจิตดลใจคุณให้คุณคล้อยตามได้ง่ายๆ ใช่ไหมละ? ดังนั้น “อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณคิดมากเกิน ไป” แต่ “จงเชื่อในสัญชาติญาณแห่งความดีงามเบื้องลึกของคุณ” จะดีกว่านะครับ สวัสดี ...

2 ความคิดเห็น:

  1. จิตข้างในบอกว่า "ไปทำงานที่ปั๊มได้เหมือนเดิม แต่ไปทำงานอย่างอื่นไม่ได้อ่ะ งง"

    ตอบลบ
  2. ถ้าเราคิดว่ามันคือความไม่เที่ยงนะ
    ไม่ได้ยึดว่าอันนั้นคือ ตัวเรา แน่แท้
    เช่น ไม่ได้คิดว่าเราคือ พนักงานไป
    ตลอดอะไรหรอก มันอาจเหมือนแค่
    เราไปทำอะไรแก้ง่วง แก้ว่าง หรือทำ
    ไปงั้นๆ เอง ไม่ไ่ด้ยึดถืออะไรหนักนะ
    ไม่ใช่ว่าเราไปทำงานนั้นแล้วเราจะมี
    ตัวตนเป็นตัวนั้นไปตลอดนะ เหมือน
    ทำงานอดิเรกฆ่าเวลาเฉยๆ แล้วมันก็
    ผ่านไป ยังไม่ใช่ "ภารกิจแท้จริง" ที่
    เราจะทำ เราก็ทำไป ไม่ต้องคิดมาก
    อะไร ทำได้ทั้งนั้น แก้เซ็ง เท่านั้นละ


    สิ่งนี้ ไม่ใช่เหตุ ที่จะนำไปสู่ผลของ
    อนาคต มันกำหนดอนาคตอะไรไม่
    ได้หรอก ไม่ใช่ว่าคนทำงานดูดี ได้
    ตำแหน่งดี อนาคตจะดีกว่าคนทำงาน
    ธรรมดาๆ ทั่วไปนะ


    ผมชื่นชมคนอีสานมากเลย พวกเขา
    มีพัฒนาการดีมาก ไปทำงานเป็นสาว
    โรงงาน แล้วอายุมาก เขาไม่เอา ต้อง
    ถูกให้ออก เขาก็มาเข็นรถขายของใน
    กรุงเทพ หลายคนกำลังมีกิจการของ
    ตัวเอง เช่น ร้านส้มตำเล็กๆ, ร้านชายสี่
    บะหมี่เกี๊ยว ผมรู้สึกว่าพวกเขาเก่งมาก
    เป็นฮีโร่ในใจผมเลยละ ...

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน