วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"อิทธิบาทสี่" บาทฐานอันนำไปสู่ "อิทธิวิธี" นั้นเป็นไฉน?

สวัสดีีครับ วันนี้ มีบทความที่เสริมเพิ่มเติมจากบทความที่แล้วครับ คือ เรื่องของอภิญญา ซึ่งอภิญญานี้ บางท่านจะแ่บ่งออกเป็นสองส่วน คือ ๑. อภิญญาเล็ก ก็คืออภิญญา ๕ นั่นเอง ซึ่งเป็นของสาธารณะ มีได้ในคนทั่วไป แม้ไม่ใช่พระอริยเจ้าครับ ๒. อภิญญาใหญ่ คือ อภิญญาตัวที่หก หรืออาสวขยญาณ ซึ่งมีเฉพาะในพระอริยเจ้าครับ ทีนี้ ผมจะกล่าวถึงเฉพาะส่วนอภิญญาเล็กก่อน แล้วเจาะลงไปอีกเฉพาะ "อิทธิวิธี" ก็แล้วกัน โดยผมจะพูดถึงหลัก "ฝึกโดยไม่ฝึก" ที่ผมเคยกล่าวไว้แล้วในบทความก่อนๆ คำว่าฝึกโดยไม่ฝึกนั้น หมายถึง เราไม่ต้องออกจากงาน ลางานไปฝึกสมาธิที่ไหน เราก็ทำกิืจวัตรประจำวันปกติของเรานี่แหละ แล้วมันก็ได้ "ผลเป็นอภิญญาเล็ก ก็ดี, อภิญญาใหญ่ ก็ดี" ได้ทั้งนั้นแหละครับ เพราะถ้าพูดกับแบบระดับมิติที่สามคือ อ้างอิงเอาในตำราพุทธก็ได้ มันก็คือ "หลักการของอิทธิบาทสี่" นั่นเอง ซึ่งธรรมข้อนี้ ผู้เจริญดีแล้ว ได้ฤทธิ์มากถึงขั้นยืดอายุตัวเองได้เลยครับ พระพุทธเ้จ้าท่านรับรองเองว่าผู้ใดเจริญอิทธิบาทสี่ดีแล้ว ประสงค์จะอยู่ให้เลยกัปก็ได้นะครับ (แต่ต้องได้อรหันต์ด้วยมังครับ) นั่นคือ แค่อิทธิบาทสี่นี่แหละได้หมดเลยครับทั้งปัญญา ทั้งอภิญญา ทั้งอรหันต์มันได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องลาจากงาน หาเวลาไปเข้าวัด ห่มขาวก่อนค่อยมาเดินจงกลม อะไรแบบนั้นเลย อันนี้ มันเหมาะกับคนยุคปัจจุบันที่สุดแล้ว ด้วยเพราะเราไม่่ค่อยมีเวลาว่างออกจากงานไปฝึกอะไรกันนนานๆ ไงครับ


เอาละ อย่าเพิ่งคิดว่าผมจะมาเืทศน์เรื่องอิทธิบาทสี่ละ มันน่าเบื่อไป โฮ่ๆๆ อย่างผมต้องเม้าท์สิครับ ว่าแล้วก็เม้าท์เลยละกันว่าไอ้อิทธิบาทสี่นี่นะ มันก็คือ ธรรมอันเป็นบาทฐานไปสู่อิทธิฤทธิ์, อิทธิวิธีได้ มันคือ ตัวเป้ง ตัวพ่อ ตัวแม่ ของอภิญญาเลยละ ก่อนจะให้กำเนิดอภิญญา (ตัวลูกออกมา) มันเป็นตัวการใหญ่เลยที่ทำให้คลอดอภิญญา, ปัญญา และอะไรต่อมิอะไรมาได้ทั้งนั้นแหละ ดังนั้น คนฉลาด ไม่ต้องไปเสียเวลาออกจากกิจวัตรประจำวัน ทุกอย่าง ใช้เป็นบาทฐานได้หมด ไม่ต้องไปนั่งแยกแยะว่าเวลานี้ ฉันฝึกสมาธินะ เวลานี้ ฉันออกจากสมาธิแล้ว พักแล้ว อะไร โอ้ย ไร้สาระ เสียเวลาฝึกไปเปล่าๆ ปรี้ๆ งี่เง่าสิ้นดี ก็อิทธิบาทสี่นี่แหละ ทำได้ทุกเวลา ทั้งหลับและตื่น มันก็ทำได้ ถ้าคนเราเข้าใจ มีปัญญาซะอย่าง อ้อแล้วเราก็อย่าไปตีวงแคบให้อิทธิบาทสี่ มีเฉพาะในคนที่มีอาชีพละ พระไม่มีอาชีพ ท่านก็ปฏิบัติในอิทธิบาทสี่นี้ได้กันเยอะแยะตาแปะก่าย นอนทุกวัน มันก็เป็นอิทธิบาทสี่ได้ กินข้าวทุกวัน มันก็เป็นอิทธิบาทสี่ได้ หายใจทุกวัน มันก็เป็นอิทธิบาทสี่ได้ มันได้ทั้งนั้นแหละ "ทุกกิจกรรม" ถ้ามันมี "ฉันทะ" ในสิ่งที่ตนเองทำนะ เช่น ฉันเลี้ยงปลาคาร์ฟ เพราะฉันรักมัน อาศัยเริ่มต้นจากที่เรารักมันนี่แหละ เป็นจุดเริ่มต้น "ถ้าเรายอมรับตัวเอง ทุกอย่างในตัวเอง" ไม่ว่าจะการกระทำใดๆ กิจกรรมใดๆ มันก็เกิด "ฉันทะ" ขึ้นมาได้ แล้วเจ้าตัว "วิริยะ" นี่ไม่ต้องไปทรมานกาย ไม่ต้องไปทำทุกขกริยานะ คนที่ฉลาดในการทำกรรมฐาน ย่อมทำความสบายให้เกิดในกรรมฐาน ก็ทำให้มันสบายๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ยิ่งไปทำให้ทรมานตัวเองมาก ขยันเกินเหตุ มันทุเรศนัยตาว่ะ ฮ่าๆๆๆ บ้าเกิน คิดว่าตัวเองดีมาก เก่งมาก ขยันมาก เลยกลายเป็นว่า "กรรมฐานอืด กรรมฐานติดหล่ม กรรมฐานบรรทุกของหนัก" เกินไป ไม่ต้อง โง่เกิน ทำให้มันสบายๆ ไปเรื่อยๆ ทำสม่ำเสมอ ทำประจำ ไม่ต้องทำให้มันมากเกินไป ไม่ต้องทำเยอะแยะอะไร ได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น แต่สม่ำเสมอนะ ไม่ใ่ช่้ว่าเลิกแล้ว ตูไม่ทำอีกแล้ว อะไรแบบนั้น เช่น หายใจอยู่ทุกวัน ก็ง่ายๆ ทำได้เลย นี่ ถ้าหยุดหายใจก็ตายสิน่า ดังนั้น ง่ายมาก พอใจมั้ย ถ้าไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว แต่ยังไม่ตาย ก็เอาฉันทะลงไปในกิจกรรมหายใจ นั่นแหละ มันหายใจอยู่เรื่อยๆ สม่ำเสมออยู่ มันก็เป็นวิริยะเอง ไม่ต้องไปเร่งให้มันหายใจมากๆ เยอะๆ ยากๆ อุดรูจมูกนั้น ไปรูจมูกนี้ อะไรของมัน ทำให้มันเรียบๆ ง่ายๆ สบายๆ เบาๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรของมัน นั่นแหละวิริยะแล้ว ที่นี้ก็จิตรวมเป็นหนึ่งดีในกิจกรรมที่ทำมั้ย ละ ถ้าจิตรวมเป็นสมาธิดี ก็คือ "จิตตะ" นั่นแหละ จิตรวมดีแล้วจะยกธรรมอะไรขึ้นมาพิจารณา "มันก็ได้ืั้ทั้งนั้น" นั่นแหละ วิมังสา แล้วละ


โอ้ย ทำกันง่ายๆ เวรี่อีซี่ส์ มั๊กๆๆๆ พูดแล้วจะหาว่าโม้ แต่ไม่ได้โม้นะครับ เอาเป็นว่าใครอยากทรมานตัวเอง อยากเหนื่อยแล้วไม่ไ่ด้อะไร ชอบทำอะไรงี่เง่าเนานานแล้วไม่ไ่้ด้ผล ก็เรื่องของมัน ทำไป แต่ถ้าใครรักตัวเองหน่อย ไม่ยาก บอกขนาดนี้แล้ว ยิ่งกว่าใบ้หวยอีก เอาละ ไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว เปลืองเวล่ำเวลา ไปดีกว่า สวัสดีครับ ...     

6 ความคิดเห็น:

  1. บทความนี้เขียนในระดับมิติที่สามนะครับ อ้างอิงศาสนาเข้ามาหน่อย เพราะบางคนยังปรับตัวเข้ากับมิติที่สูงกว่านี้่ไม่ได้ เอาละ ลองพิจารณากันเองครับ วันหลังจะได้นำบทความในมิติที่สูงขึ้นมา สลับกันไปบ้าง เผื่อบางคนเข้าใจช้า เข้าใจเร็วต่างกันครับ

    ตอบลบ
  2. แม้แต่กระดึ๊บๆ กันก็ัยังเป็นกรรมฐานเลยโน๊ะะ โฮะๆๆๆ ฮา 5555555555555

    ตอบลบ
  3. หลักการนี้มันคล้ายหลักการของอิสลามเลยนะ

    ตอบลบ
  4. เราเคราพความคิดเห็นสหายมากมันเจ๋งนะใช่เลยมันเป็นความรู้สึกของเราลึกๆ

    ตอบลบ
  5. คล้ายกับหลักการของอิสลาม?


    น่าสนใจมากครับ ถ้าจะให้ดีขยายนิดหนึ่งก็ได้ครับ เพราะผมไม่ได้มีความรู้เรื่องอิสลามมากนัก แต่ตอนเขียนบทความนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้อยากให้มันจมอยู่ในกรงขังของศาสนาอะไรทั้งนั้น สัจธรรมความจริง มันเป็นธรรมะ ธรรมชาติ น่ะครับ แต่ว่าบางครั้ง คนอ่านยังยึดติดกับศาสนาอยู่ ก็มีมาก หลายคน พอผมไม่อ้างอิงถึงศาสนาก็จะกลายเป็นว่า "ผิดไปเลย" ก็ยังงงๆ ว่าคนเราแค่ไม่ได้เหมือนในศาสนา ก็กลายเป็นความผิดทันทีเลยหรือ? อะไรแบบนั้น ดีใจครับกับข้อมูลที่ให้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้นะครับ

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน