วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ด้านลบของบุญ และ "พลังเหนือบุญ"

สวัสดียามเย็นครับ มีเกร็ดเล็กๆ มาเม้าท์กันอีกแล้วคราวนี้เป็นเรื่องบุญ ที่หลายคนก็ชอบทำกันจังเลย อยากจะบอกว่า แท้จริงแล้ว "กรรมทั้งหลาย ไม่มีดีและชั่ว ในตัวมันเอง" นะครับ เราไปยึดเอง ปรุงแต่งเองว่านี่ดี นั่นชั่ว เลยเกิดมีกรรมดีกรรมชั่วขึ้นมา แท้แล้วมันก็มีเพียงก็แค่ "กรรม" เฉยๆ ทีนี้ เวลาเราอยู่ในมิติที่ต่ำ เช่น มิติที่สาม เราจะยึดติดความถูก-ผิด, ดี-ชั่ว ฯลฯ มาก เราก็จะเห็นกรรมมี กรรมดี, กรรมชั่ว และกรรมกลางๆ อะไรแบบนั้น แท้แล้วถ้ามองรอบด้าน รอบมิติเราจะเห็นว่าทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ล้วนมี "สองด้านทั้งนั้นครับ" คือ กรรมดีก็มีทั้งด้านดีและด้านเสีย, กรรมชั่วก็มีทั้งด้านดีและด้านเสีย ไม่ต่างกันครับ ยกตัวอย่างเช่น เวลานาย ก. มีกรรมดีสนองผลมาก นาย ก. อาจหลงตัวเองกู่ไม่กลับ ในขณะที่ถ้านาย ก. ได้รับกรรมชั่วบ้าง นาย ก. ก็จะสำนึกตนแล้วเกิดปัญญาขึ้นมาได้ ก็มี, บางสถานการณ์ ถ้านาย ก. มีแต่กรรมชั่ว นาย ก. อาจไม่มีปัจจัยอะไรช่วยเหลือใครได้เลย เป็นได้แค่คนธรรมดาที่ได้แต่มองคนอื่นตกยาก ลำบากเหมือนตนเท่านั้น ถ้านาย ก. ได้รับกรรมดีบ้าง นาย ก. ก็จะมีโอกาสช่วยคนได้ เห็นไหมครับว่าทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว มันมีทั้งสองด้าน คือ ทั้งด้านดีและด้านเสีย ดังนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ล้วนไม่มีใครที่ต้องการบุญนั้นหรอกครับ สิ่งที่พระพุทธเ้จ้าทั้งหลายทำสืบๆ กันมาคือ "ทานบารมี" ไม่ใช่ "บุญ" นะครับ มันคนละอย่างกัน แบบฟ้ากะเหวเลย กล่าวคือ "บุญนี่มันเป็นผลของกรรมดี" แต่ "ทานบารมีเป็นกำลังจิตแห่งการสละได้" ครับ ยกตัวอย่าง พระราชาคนหนึ่งอาจมีอำนาจและเงินมากมายเขาเอาอำนาจและเงินไปสร้างอะไรมากมายเพื่อจะให้ได้บุญเยอะๆ ก็ทำได้ นี่เรียกว่า "ทำบุญมาก" ครับ ในขณะที่พระราชาอีกองค์กลับสละอำนาจและราชบัลลังก์ออกบวช นี่แหละเรียกว่า "ทานบารมี" ครับ ท่านเลยไม่มีบุญเท่ากับองค์แรก (ดูเหมือนองค์แรกจะฉลาดกว่านะครับ เพราะไม่สละอำนาจ เพื่อที่จะใช้อำนาจมาลงทุนสร้างบุญให้ได้เยอะๆ) ทว่า ผู้ที่จะได้ตรัสรู้ได้ ย่อมเป็นองค์ที่สอง (ที่สละอำนาจนั้น) ไม่ใช่องค์แรกครับ เข้าใจไหมครับ คำว่า "ทำบุญ" กับ "สร้างทานบารมี" มันต่างกันอย่างไร? ทีนี้คนที่ทำบุญมากๆ ก็อาจจะมีคนชอบมาก เพราะเป็นคนใจบุญ สร้างผลงานมาก มีผลงานอวดโชว์ใครได้เยอะ แต่ความเป็นจริงก็คือ "ไม่ใช่ทานบารมี" ครับ และจะไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าครับ มันคนละเส้นทางกัน ไม่เช่นนั้น พวกเศรษฐีที่ทำบุญกับพระพุทธเจ้ามากๆ แข่งกันทำบุญนั้น คงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเ้จ้ากันมากมายแล้ว แต่นี่มันไม่ใช่นี่ ใช่มั้ยละครับ


เอาละ หวังว่าท่านจะแยกแยะระหว่าง "บุญ" กับ "ทานบารมี" ได้ ยังมีอีกคำว่า "ความดี" ครับ เจ้าตัวนี้ มันเป็นเหมือนเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ในการทำบุญเลย พอทำบุญแล้วก็จะต้องปรุงด้วยเจ้า ความดี นี้ลงไปทุกทีสิน่า ซึ่งผมกล่าวแต่แรกแล้วว่าในระดับมิติที่สูงกว่ามิติที่สามนั้น เขาพ้นจากกรงขังแห่งความดีและชั่ว, ถูกและผิดไปนานแล้ว แต่ถ้ายังมีคนที่อยู่ในมิติที่สามนี้อยู่ ก็ยังไม่พ้นถูกปรุงแต่งด้วยคำว่า ความดี ไม่ก็ความชั่ว ไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้นแม้แต่การทำกรรมก็ปรุงต่อไปทั้งฝ่ายกรรมดีและกรรมชั่ว ทีนี้ ลองดูคนที่มี "บุญมาก" กับคนที่มี "ทานบารมีมาก" กัน ว่าเขาต่างกันอย่างไร? คนที่มีทานบารมีมาก เขามีพลังจิตที่สละได้มากมายครับ แต่คนที่มีบุญมาก อาจสละอะไรไม่ได้เลย แต่เขาก็ทำบุญเยอะ เช่น พอมีเงินก็เอาไปลงทุน แล้วแบ่งกำไรมาทำบุญได้มากมาย แต่ถ้าให้เขาสละทรัพย์สมบัติไปหรือ? ไม่มีทางครับ เขาทำไม่ได้ เพราะเขาไม่มีทานบารมี นั่นเอง ส่วนคนที่มีทานบารมี เขาสละได้ตั้งแต่ยังไม่ได้รับ เช่น พี่น้่องสองคน กำลังแย่งสมบัติพ่อกัน คนที่มีทานบารมีมากก็สละได้ทันทีครับ ก็เลยไม่มีเงินไปสร้างบุญ ส่วนคนที่เอาสมบัติไป ไม่ได้ทานบารมี แต่มีเงินมาก สามารถเอาเงินสร้างบุญได้มากมายครับ ด้วยเหตุว่า "ทานบารมี" เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่าการทำบุญ ผลจึงทำให้พระพุทธเจ้านั้น เกิดได้ยาก มีน้อยจริงๆ ครับ ลองดูก็ได้คนในโลก จะมีสักกี่คนที่จะโง่พอจะเสียสละละครับ? หลายคนก็ฉลาดเกินไป (จนไม่อาจเป็นพระพุทธเจ้าได้) คิดว่าเอาสมบัติและอำนาจไว้ในมือตนก่อน แล้วเอาไปสร้างคุณงามความดี, ผลงานอวดโชว์ผู้คนให้ลุ่มหลงว่าคนดีเหลือหลาย และสร้างบุญได้อีกมากมาย แต่สุดท้าย "ตกกระป่อง" ล่วงแท่น ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้ากะเขาครับ


อ่ะ พล่ามมาเยอะแล้ว มีคนขัดแย้งในใจก็มาก จบไปเลยดีกว่า ฮ่าๆๆ         

7 ความคิดเห็น:

  1. เอาละ ไหนๆ ก็ได้มาอ่านบทความของชาวไซย่าแล้ว ก็จะให้เคล็ดวิชาของไซย่านิดหน่อย ในการจัดการกับบุญและกรรมนะครับ อย่างแรกคือ เราไม่ได้ฝืนกฏแห่งกรรมนะคับ ไม่ว่าจะกรรมดี หรือกรรมชั่ว เข้ามาสู่เรา เราพลิกกลับเป็น "ด้านบวก" ได้หมดครับ นั่นคือ เราจะไม่ปฏิเสธกรรมชั่ว ก็เราสามารถเอามันมาใช้เป็นพลังบวกต่อเราได้นี่ครับ แล้วเราจะไปปฏิเสธมันทำไม ตรงข้าม คนที่ได้พลังบุญมากแต่ไม่เข้าใจว่า "บุญมีทั้งด้านดีและเสีย" (บวกและลบ) เขาก็จะพลิกกลับเป็นบวกไม่เป็น และยึดเอาแต่บุญๆๆ อยู่นั่้น ก็ได้ไปเยอะแยะเลยครับ ขอถามหน่อยนะ สมมุติว่าคุณได้บุญ คุณดีใจจริงๆ หรือเปล่าที่คุณได้น่ะ? ผมว่าไม่หรอกนะ เช่น คุณได้บุญเป็นอาหาร อยู่ๆ มีคนเอาอาหารมาให้ประจำเลย คุณอาจไม่ชอบเลยก็ได้ เพราะอะไร? เพราะทุกวันนี้ คุณอยากซื้ออะไร ก็ไปเลือกเอง อะไรที่ไม่ชอบ ก็ไม่อยากกิน ถ้าบุญออกผลมาเป็นของที่คุณไม่ชอบหรือไม่อยากกินพอดีละ ทำไง? นี่ละ ตัวอย่างง่ายๆ เลย ลองดูก็ได้ ทุกวันนี้ คุณอยู่เฉยๆ ไม่ก่อกรรมอะไร มีคนเอานั่น เอานี่มาให้บ้างไหม? แล้วคุณก็ไม่ได้อยากจะได้น่ะ? ผมมีประจำเลย ฮ่าๆๆ แต่ผมไม่ได้มีอาชีพและรายได้หรอก คนเราทุกวันนี้ ไม่ได้เสวยผลบุญเก่าของตัวเองกันหรอก เขาเสวย "ผลกรรมปัจจุบัน" ที่สร้าง ณ ปัจจุบัน เพื่อเสพตามใจหมาย ใจอยาก ใจต้องการ ณ ปัจจุบัน ทั้งนั้น นี่แหละ "พวกมีสติเหลือเกิ้นนน กะ ปัจจุบันขณะ" ฮ่าๆๆๆ เลยก่อกรรมปัจจุบัน ไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะไอ้คำสอน "อยู่กะปัจจุบัน" นี่แหละ เลยไม่เข้าใจคำว่า "พ้นจากสามกาล เหนือทั้งปัจจุบัน, อดีต และอนาคต" (อกาลลิโก) เลยทำอะไร ก็หลงยึกแต่ปัจจุบันไปหมด เลยไม่รู้ว่าบุญนั้น มันเป็นผลของอดีตทั้งนั้น แต่ไอ้ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ณ ปัจจุบันนี้ มันคือ กรรมปัจจุบัน "มันคนละอย่างกัน" ที่ได้ ที่มี ที่เป็น กันอยู่ทุกวันนี้ มันเป็น "บุญ" จริงๆ ไหม? หรือว่าเป็นกรรมปัจจุบันที่สร้าง ณ ปัจจุบัน สนองกิเลสปัจจุบันทันด่วนกันแน่?

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ29 ตุลาคม 2555 เวลา 17:15

    ถ้าชาติก่อนเคยทำกรรมชั่วไว้ ผลกรรมมาส่งผลในชาตินี้ มีวิธีพลิกกลับหรือลดทอนแรงกรรมอย่างไร

    ตอบลบ
  3. กรรมมาแรงก็ดีครับ พลังมากดี ไม่ต้องลดทอนลงก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมรู้วาระกรรมว่าจะต้องออกจากเว็บพลังจิต เหมือนจะถูกไล่ (แม้ไม่ใช่ทางตรง เป็นแบบอ้อมๆ ก็ตาม) ผมก็ใช้แรงกดดันนั้น เป็นพลังในการสร้างเว็บนี้ขึ้นมาอย่างไรละครับ ถ้าผมไม่มีกรรมต้องถูกกดดันจากเว็บพลังจิต ผมจะมีเว็บของตัวเองในวันนี้หรือไม่? คงไม่มีใช่ไหมครับ เอาละ ผมบอกตายตัวไม่ได้ว่ากรรมไหน จะพลิกยังไง แต่ถ้าคุณมีปัญญาถึงขั้นนั้นแล้ว คุณจะทำได้เองครับ

    ตอบลบ
  4. กรรมชั่วเข้ามา มีกรรมให้ทำอาชีพแบบคนปกติไม่ได้ คงต้องไปทำ .............แทนนน

    ตอบลบ
  5. ร่วงก็ร่วง ไม่ได้นั่งแท่นก็ดีเหมือนกัน

    เพราะว่า "ตกแท่นมาตั้งนานแล้วแหละ"

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน