โอ้ว บทความนี้เป็นที่แสลงใจของ "พวกคลั่งศาสนา" มากๆ นะครับ ถ้าคุณยึดติดกับศาสนามากๆ คุณอย่าอ่านเลย แต่ถ้าคุณเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงกว่าศาสนาได้แล้ว เอาละ มันไม่เป็นปัญหาต่อคุณอีกต่อไป อย่างแรกที่คุณควรทราบคือ "ศาสนาเป็นเพียงองค์กรสมมุติทางโลกที่ไม่อาจนำเข้านิพพานได้" มันจะถูกใช้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ดุจคนนั่งเรือถึงฝั่งแล้วก็คงไม่มีใครแบกเรือขึ้นฝั่งไปด้วยใช่ไหม? เอาละ ทีนี้ มันจะมีคนอีกพวกหนึ่งตามมา "ทำลายเรือทิ้งซะ" เพราะถ้าขืนยังปล่อยเรือเอาไว้ มันอาจไม่ถูกใช้ไปเพื่อการ "ข้ามฝั่ง" (นิพพาน) แต่มันอาจนำไปใช้ท่องไปในลำน้ำ ในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นกัน ศาสนาก็มีอนิจจัง และมีวาระหมดอายุ วาระเสื่อมลง และต้องถูกทำลายลงเช่นกัน (ที่ผมบอกนี้ไม่ได้ยุยงให้คุณไปทำนะ สวรรค์หรือธรรมชาติเขาจะสร้างตัวทำลายศาสนา คือ มาร มาให้เองแหละ) เืพื่อไม่ให้ศาสนาถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น ใช้เป็นเครื่องมอมเมาให้คนเสพติด หลงใหล ทั้งๆ ที่ไม่อาจทำให้เกิดปัญญาหรือนิพพานได้ แต่อาจมีผู้ปกครองที่มีอำนาจ ใช้ศาสนาครอบงำผู้คนให้หลงเสพติดมันต่อไป ดังนั้น ในยามที่ยังมีพระศาสดาอยู่ ศาสนาก็ถูกใช้ดั่งเรือข้ามฟาก แต่เมื่อสิ้นนายท้ายเรือ (พระศาสดา) ไปแล้ว มันจะถูกใช้อย่างผิดทางได้
ดังนั้น จึงต้องมี "มาร" และคนอย่าง "พระเทวทัต" อยู่ร่วมในศาสนาไงครับ เคยสงสัยไหมว่าทำไมพระพุทธเจ้าไม่ตราศีลไว้ว่า "ผู้ใดทำสังฆเภทอันเป็นกรรมหนักมากนี้ ต้องอาบัติปาราชิก" ??? ไม่มีเลยครับ พระเทวทัตได้อยู่โดยไม่มีการให้สึกแต่ประการใด เพราะอะไร? ก็เพราะพระพุทธเจ้้าทรงรู้ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด เพราะมีความจำเป็นที่ต้องทำลายเรือทิ้ง ก็ต้องมีพระเทวทัตและเหล่ามาร มาทำหน้าที่ไงครับ นี่คือ "ความจริงที่เหนือมิติที่สาม" หากท่านยังจมปลักอยู่ในมิติที่สามอยู่ ท่านจะหลงศาสนา กลายเป็น "พวกคลั่งศาสนา" ได้นะครับ ดังนั้น ผมจึงบอกคุณแต่แรกว่า "คุณพกศาสนาเข้า้นิพพานไม่ไ่ด้" คุณต้องทำลายศาสนา "ในตัวคุณก่อน" ไม่ใช่ศาสนาที่อยู่นอกตัวคุณนะ อันนั้น มันไม่ใช่ "ตัวคุณ ของคุณ" ไม่ต้องไปยุ่งกะของใครเขา ทำของเราเองนี่ คำว่า "ทำลายน่ะ" มันก็แค่ทำลายความยึดมั่นถือมั่น เท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปทำลายรูปธรรม, นามธรรม, วัตถุใดๆ ก็หาไม่ เรื่องการทำลายศาสนาที่อยู่นอกตัว มันเรื่องของมารเขา ถ้าคุณไม่คิดจะเป็นมาร ก็ไม่ต้องไปทำ และไม่ต้องไปยุ่งงานของเขา ให้มาร เขาทำงานของเขาไป ส่วนเราก็ทำหน้าที่ของเรา มันก็แค่นั้นเอง
เอาละ ดูจริงจังมากไปหน่อยสำหรับบทความ หุๆ กลับมาเม้า์ท์สบายๆ กันเหมือนเดิมได้แล้ว ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ผมจะบอกไว้ให้คุณพิจารณาเองว่า "ผู้บรรลุอรหันต์ทุกท่่าน ล้วนอยู่นอกศาสนาทั้งสิ้น" ไม่มีพระอรหันต์รูปใด ตกอยู่ภายใต้กรงขังแห่งศาสนา หรอก เลื่อนระดับตัวคุณเองขึ้นไป แล้วคุณจะได้เห็นสิ่งที่สูงกว่า จากมุมมองที่สูงกว่า แล้วคุณจะเข้าใจในความหมายที่ผมได้พูดถึงนี้ สวัสดีครับ
วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
แรงดึงดูดจากมิติที่ยิ่งใหญ่ อาจทำให้คุณเป็นได้แค่ "มดปลวก"?
ฮาโหลฮ่าเจอกันอีกแล้วค่ำๆ นะคร้าบ บังเอิ้ญ บังเอิญ มีเรื่องน่าสนใจเรื่องนึงจะมาเม้าท์ให้ฟังกันอ่ะครับคือ เรื่องของการเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงมากๆ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียอ่ะครับ เอ้าผมอยากถามคุณง่ายๆ อย่างนี้นะ ถ้าสมมุติคุณมีกำลังบุญอยู่ ๕๐ หน่วยคุณเลือกทางได้สองทาง ๑. เป็นคนอเมริกัน แต่ว่าระดับล่างมากๆๆ เลยนะครับ ๒. เป็นคนอัฟริกา แต่ว่าคุณจะกลายเป็นชนชั้นสูงมากๆๆ เลยอีกละ สรุปว่า คุณจะเลือกอะไร อันนี้ให้คิดเล่นๆ นะ เหมือนกันละครับ สมมุติเรามีบุญมีบารมีสัก ๕๐ หน่วย ถ้าเราเลือกไปสู่มิติที่ไม่สูงมาก เราอาจกลายเป็นคนที่มีบริวารมาก เป็นผู้นำคนมากมายแต่ถ้าเราเลือกไปสู่มิติที่สูงมาก เราอาจเป็นได้แค่ "บริวารชั้นล่าง" ของเขา ก็เท่านั้นเอง เอาละ ถ้าให้คุณเลือก คุณอยากจะเลือกแบบไหน? เห็นมั้ยละครับ ของทุกอย่างจะไปมองแต่ว่ามันสูงอย่างเดียวหรือมันยิ่งใหญ่อลังการอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองย้อนกลับมาที่ตัวเราด้วยว่า "เราเป็นยังไง" ถ้าเราทำได้แค่นี้ก็คือ ๕๐ หน่วย แล้วเลือกได้สองทางอย่างนั้น เราจะเลือกอะไร?
ทว่าในมิติที่สูงๆ นั้นเขาไม่บอกเราหรอกครับว่ามีอะไรไม่ดีหรือข้อเสียอะไรบ้าง เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเป็นไปแล้วถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ก็เท่านั้น ทว่า พวกเขาย่อมจะสร้างพลังดึงดูดให้น่าสนใจมากๆ เพื่อดึงดูดเราให้ขึ้นไปให้ได้ สร้างความยิ่งใหญ่อลังการเหนือชั้นไว้ล่อเรามากมาย แต่เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ มันไม่ใช่ความถูกผิดอะไรเลย มันเป็นงานที่เขาจะต้องทำอย่างนี้แหละ มันเป็นธรรมชาติของมันเอง ทีนี้ ตัวเรานั้นก็ลองย้อนกลับมาดูตัวเองนะครับ อย่างสมมุติผมน่ะ ถ้าไปอยู่ระดับมิติที่สูงมากๆ ก็แน่นอนเป็น "ลูกน้องที่ดี" ของท่านใดสักท่านหนึ่งในมิตินั้นๆ ไม่ใช่ว่าเราจะยิ่งใหญ่ในมิติที่สูงๆ ได้นะ เราทำมาจำกัด ต้องดูที่ "บุญบารมี" ที่เราทำไว้ด้วยครับ แต่ถ้าผมลงไปอยู่มิติที่ล่างมาก ก็อาจจะได้อะไรเยอะแยะมากมายเลยก็ได้ ทีนี้ ผมอาจจะเลือกมิติกลางๆ ก็คือ ไม่ต่ำเกินไปจนหลงทิศผิดทาง แบบหาแสงสว่างได้ยาก และก็ไม่สูงเกินไปจนเรากลายเป็นตัวกระจ้อยร่อย ทว่า ใครๆ ก็อยากได้บริวารเก่งๆ จริงไหมครับ ท่านที่เป็นใหญ่ในระดับมิติที่สูงๆ ก็ต้องพยายามที่จะสร้างพลังดึงดูดเราให้ขึ้นไปอยู่ในมิติที่สูงๆ นั้นให้ได้เขาก็จะได้เราเป็นบริวารเพิ่มไงครับ (ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร) มันเหมาะกับคนที่ชอบหา "ผู้นำที่ยิ่งใหญ่มากๆ อลังการสุดๆ" โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะได้ระดับไหน แต่เอาผู้นำที่ยิ่งใหญ่สุดๆ อลังการสุดๆ เอาไว้ก่อน ประมาณนั้น
ดังนั้น ก็ลองพิจารณากันเอาเองก็แล้วกันครับ ว่าท่านจะเลือกอยู่ในมิติไหน ประมาณใด บางครั้ง เราแค่ไปเที่ยวชมมิติที่สูงๆ บ้างแก้เบื่อ ใช้ญาณหยั่งไปรู้บ้าง แก้เซ็ง มันก็เท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไปยังมิติที่สูงนั้นจริงๆ หรอก สุดท้ายแล้วเราอาจจะเลือกอะไรที่พอดีตัวกะเราก็ได้ เหมือนกันการเลือกใส่เสื้อผ้าพอดีตัว นั่นแหละ ยกเว้นว่าเราจะไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย เลยไม่ทันคิดพิจารณา ไม่ทันเลือก ไม่ทันรู้ว่ามันจะมีผลอย่างไร เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ อลังการมากๆ สูงสุดๆ ก็จะคว้าเอาไว้ก่อน แบบนั้น คนที่ไม่สูง ก็ไม่นับถือเป็นผู้นำ ก็เลยต้องไปหา "ผู้นำ" ในมิติที่สูงๆ มาคุมตัวเองให้ได้ มันก็เท่านั้นเอง เอาละ มันไม่มีอะไรมาก เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ เผื่อเป็นประโยชน์แค่นั้นครับ สวัสดี...
ทว่าในมิติที่สูงๆ นั้นเขาไม่บอกเราหรอกครับว่ามีอะไรไม่ดีหรือข้อเสียอะไรบ้าง เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเป็นไปแล้วถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ก็เท่านั้น ทว่า พวกเขาย่อมจะสร้างพลังดึงดูดให้น่าสนใจมากๆ เพื่อดึงดูดเราให้ขึ้นไปให้ได้ สร้างความยิ่งใหญ่อลังการเหนือชั้นไว้ล่อเรามากมาย แต่เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ มันไม่ใช่ความถูกผิดอะไรเลย มันเป็นงานที่เขาจะต้องทำอย่างนี้แหละ มันเป็นธรรมชาติของมันเอง ทีนี้ ตัวเรานั้นก็ลองย้อนกลับมาดูตัวเองนะครับ อย่างสมมุติผมน่ะ ถ้าไปอยู่ระดับมิติที่สูงมากๆ ก็แน่นอนเป็น "ลูกน้องที่ดี" ของท่านใดสักท่านหนึ่งในมิตินั้นๆ ไม่ใช่ว่าเราจะยิ่งใหญ่ในมิติที่สูงๆ ได้นะ เราทำมาจำกัด ต้องดูที่ "บุญบารมี" ที่เราทำไว้ด้วยครับ แต่ถ้าผมลงไปอยู่มิติที่ล่างมาก ก็อาจจะได้อะไรเยอะแยะมากมายเลยก็ได้ ทีนี้ ผมอาจจะเลือกมิติกลางๆ ก็คือ ไม่ต่ำเกินไปจนหลงทิศผิดทาง แบบหาแสงสว่างได้ยาก และก็ไม่สูงเกินไปจนเรากลายเป็นตัวกระจ้อยร่อย ทว่า ใครๆ ก็อยากได้บริวารเก่งๆ จริงไหมครับ ท่านที่เป็นใหญ่ในระดับมิติที่สูงๆ ก็ต้องพยายามที่จะสร้างพลังดึงดูดเราให้ขึ้นไปอยู่ในมิติที่สูงๆ นั้นให้ได้เขาก็จะได้เราเป็นบริวารเพิ่มไงครับ (ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร) มันเหมาะกับคนที่ชอบหา "ผู้นำที่ยิ่งใหญ่มากๆ อลังการสุดๆ" โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะได้ระดับไหน แต่เอาผู้นำที่ยิ่งใหญ่สุดๆ อลังการสุดๆ เอาไว้ก่อน ประมาณนั้น
ดังนั้น ก็ลองพิจารณากันเอาเองก็แล้วกันครับ ว่าท่านจะเลือกอยู่ในมิติไหน ประมาณใด บางครั้ง เราแค่ไปเที่ยวชมมิติที่สูงๆ บ้างแก้เบื่อ ใช้ญาณหยั่งไปรู้บ้าง แก้เซ็ง มันก็เท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไปยังมิติที่สูงนั้นจริงๆ หรอก สุดท้ายแล้วเราอาจจะเลือกอะไรที่พอดีตัวกะเราก็ได้ เหมือนกันการเลือกใส่เสื้อผ้าพอดีตัว นั่นแหละ ยกเว้นว่าเราจะไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย เลยไม่ทันคิดพิจารณา ไม่ทันเลือก ไม่ทันรู้ว่ามันจะมีผลอย่างไร เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ อลังการมากๆ สูงสุดๆ ก็จะคว้าเอาไว้ก่อน แบบนั้น คนที่ไม่สูง ก็ไม่นับถือเป็นผู้นำ ก็เลยต้องไปหา "ผู้นำ" ในมิติที่สูงๆ มาคุมตัวเองให้ได้ มันก็เท่านั้นเอง เอาละ มันไม่มีอะไรมาก เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ เผื่อเป็นประโยชน์แค่นั้นครับ สวัสดี...
ปีศาจบำเพ็ญธรรมได้ไหม? ถ้าได้แล้วต่างจากคนอย่างไร?
อ่ะ มีความลับจะมาบอก แบบว่ามันลึกลับมั๊กๆๆ เลยอ่ะ คือ เรื่องการบำเพ็ญธรรมของปีศาจ อั๊ยย๊ะ ฟังแล้วโต๊ะจายโหมะเยย ปีศาจก็สามารถบำเพ็ญธรรมได้ด้วยเหรอ? ได้สิครับ แต่ไม่เหมือนกะคนนะครับ แล้วมันเป็นยังไงละ? เอ้า ก็จะได้เม้าท์ให้ฟังกันอยู่นี่ไงล่า โฮ่ๆๆ
จิตวิญญาณที่มีระดับมิติที่สูงมากพอจะบำเพ็ญธรรมได้ ก็นับแต่ปีศาจขึ้นไปนะครับ ต่ำกว่านั้นบำเพ็ญธรรมไม่ได้มรรคผล ต้องตายพ้นไปจากชาติภพนั้นก่อนจึงบำเพ็ญธรรมได้ครับ เช่น เปรต, สัตว์นรก สองอย่างนี้ บำเพ็ญธรรมไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานและอสุรกาย บำเพ็ญธรรมได้ครับ เพียงแต่ว่า พวกเขาจะมีวิธีบำเพ็ญต่างจากคน กล่าวคือ ต้องเข้าสู่วิถีเซียน สำเร็จเซียนก่อนจึงได้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เมื่อสำเร็จเซียนแล้ว จิตวิญญาณดวงนั้นจะยังไม่มีร่างมนุษย์ เหมือนเซียนองค์ที่หนึ่ง (ที่ถอดจิตออกจากร่างแล้วร่างถูกเผาไป เลยต้องกลับเข้าร่างขอทานนะครับ) ดังนั้น เมื่อเขาสำเร็จเซียนแล้วก็ต้องหาร่างมนุษย์แล้วกำเนิดใหม่แบบ "โอปปาติกะ" นะครับ ก็จะเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ เหมือนคนปกติได้ แถมยังมีความสามารถพิเศษกว่าคนปกติด้วยครับ
เอาละ แล้วปีศาจแต่ละชนิดเขาบำเพ็ญธรรม เหมือนคนมั้ย ต่างกันอย่างไร ต่างกันครับ แต่ละชนิดก็บำเพ็ญต่างกัน เช่น ปีศาจ "งูขาว" ก็มีพระโพธิสัตว์กวนอิมมาบอกวิธีบำเพ็ญธรรมให้ว่า "เมื่อเกิดความรักที่แท้จริง" เขาก็จะบรรลุเซียนได้เป็นมนุษย์ครับ, ปีศาจค้างคาว (ผีดูดเลือด) นั้นจะต้องดูดซับไอฟ้า ไอดิน จะดูดเลือดสัตว์ไม่ได้ จนกว่าจะสำเร็จเซียนครับ, ปีศาจอื่นๆ ก็มีวิถีความเป็นอยู่ และอิทธิฤทธิ์ต่างกันไปจำต้องเดินตามแนวทางของตนปรับนิดหน่อยเพื่อการบำเพ็ญธรรมครับ ทำให้วิถีการบำเพ็ญธรรมต่างกัน ปกติ ก็อาจแฝงร่างมนุษย์ก่อน หาสังขารมนุษย์ได้แล้ว ก็อาศัยร่างนั้นบำเพ็ญธรรมควบคู่กันไปครับแบบนี้ ค่อนข้างง่ายและมีโอกาสได้สูงกว่าครับ เพราะสามารถใช้่ร่างมนุษย์สร้างบุญบารมีช่วยส่งเสริมอีกแรง (บุญบารมีเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ แต่ปีศาจทำได้ยากครับ) ในสัตว์เดรัจฉานก็บำเพ็ญธรรมได้ครับ เช่น สัตว์บางชนิดก็จำศีลนานๆ ก็ได้ตบะครับ สัตว์บางชนิดก็ให้ทานแก่มนุษย์ด้วยการให้เลือดเนื้อแก่มนุษย์ครับ ดังนั้น อย่าเพิ่งไปมองว่าการกินเนื้อสัตว์ เลวร้ายหรือผิดเสมอไปครับ บางครั้ง มันอาจเป็นวิถีทางการบำเพ็ญบารมีของสัตว์เดรัจฉานชนิดนั้นๆ ก็ได้ครับ
เอาละ ปีศาจนอกจากจะบำเพ็ญเซียนจนได้เป็นมนุษย์แล้ว ก็ยังเป็น "เทพ" ก็ได้ครับ กรณีนี้บำเพ็ญง่ายกว่า น้อยกว่า แต่ได้ระดับต่ำกว่านะครับ เมื่อสำเร็จเป็นเทพแล้ว ก็ไม่ต้องมีร่างสังขารเป็นมนุษย์ก็ได้ครับ เป็นจิตวิญญาณที่มีตำแหน่งเป็นเทพ ก็เท่านั้นเอง เอาละ บทความนี้่เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ เพลินๆ เป็นนิทานนะครับ ที่เหลือลองไปรู้เอง ก็จะได้รู้ในมุมที่แตกต่างจากผมนะครับ ขอจบลงเท่านี้ สวัสดีครับ
จิตวิญญาณที่มีระดับมิติที่สูงมากพอจะบำเพ็ญธรรมได้ ก็นับแต่ปีศาจขึ้นไปนะครับ ต่ำกว่านั้นบำเพ็ญธรรมไม่ได้มรรคผล ต้องตายพ้นไปจากชาติภพนั้นก่อนจึงบำเพ็ญธรรมได้ครับ เช่น เปรต, สัตว์นรก สองอย่างนี้ บำเพ็ญธรรมไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานและอสุรกาย บำเพ็ญธรรมได้ครับ เพียงแต่ว่า พวกเขาจะมีวิธีบำเพ็ญต่างจากคน กล่าวคือ ต้องเข้าสู่วิถีเซียน สำเร็จเซียนก่อนจึงได้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เมื่อสำเร็จเซียนแล้ว จิตวิญญาณดวงนั้นจะยังไม่มีร่างมนุษย์ เหมือนเซียนองค์ที่หนึ่ง (ที่ถอดจิตออกจากร่างแล้วร่างถูกเผาไป เลยต้องกลับเข้าร่างขอทานนะครับ) ดังนั้น เมื่อเขาสำเร็จเซียนแล้วก็ต้องหาร่างมนุษย์แล้วกำเนิดใหม่แบบ "โอปปาติกะ" นะครับ ก็จะเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ เหมือนคนปกติได้ แถมยังมีความสามารถพิเศษกว่าคนปกติด้วยครับ
เอาละ แล้วปีศาจแต่ละชนิดเขาบำเพ็ญธรรม เหมือนคนมั้ย ต่างกันอย่างไร ต่างกันครับ แต่ละชนิดก็บำเพ็ญต่างกัน เช่น ปีศาจ "งูขาว" ก็มีพระโพธิสัตว์กวนอิมมาบอกวิธีบำเพ็ญธรรมให้ว่า "เมื่อเกิดความรักที่แท้จริง" เขาก็จะบรรลุเซียนได้เป็นมนุษย์ครับ, ปีศาจค้างคาว (ผีดูดเลือด) นั้นจะต้องดูดซับไอฟ้า ไอดิน จะดูดเลือดสัตว์ไม่ได้ จนกว่าจะสำเร็จเซียนครับ, ปีศาจอื่นๆ ก็มีวิถีความเป็นอยู่ และอิทธิฤทธิ์ต่างกันไปจำต้องเดินตามแนวทางของตนปรับนิดหน่อยเพื่อการบำเพ็ญธรรมครับ ทำให้วิถีการบำเพ็ญธรรมต่างกัน ปกติ ก็อาจแฝงร่างมนุษย์ก่อน หาสังขารมนุษย์ได้แล้ว ก็อาศัยร่างนั้นบำเพ็ญธรรมควบคู่กันไปครับแบบนี้ ค่อนข้างง่ายและมีโอกาสได้สูงกว่าครับ เพราะสามารถใช้่ร่างมนุษย์สร้างบุญบารมีช่วยส่งเสริมอีกแรง (บุญบารมีเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ แต่ปีศาจทำได้ยากครับ) ในสัตว์เดรัจฉานก็บำเพ็ญธรรมได้ครับ เช่น สัตว์บางชนิดก็จำศีลนานๆ ก็ได้ตบะครับ สัตว์บางชนิดก็ให้ทานแก่มนุษย์ด้วยการให้เลือดเนื้อแก่มนุษย์ครับ ดังนั้น อย่าเพิ่งไปมองว่าการกินเนื้อสัตว์ เลวร้ายหรือผิดเสมอไปครับ บางครั้ง มันอาจเป็นวิถีทางการบำเพ็ญบารมีของสัตว์เดรัจฉานชนิดนั้นๆ ก็ได้ครับ
เอาละ ปีศาจนอกจากจะบำเพ็ญเซียนจนได้เป็นมนุษย์แล้ว ก็ยังเป็น "เทพ" ก็ได้ครับ กรณีนี้บำเพ็ญง่ายกว่า น้อยกว่า แต่ได้ระดับต่ำกว่านะครับ เมื่อสำเร็จเป็นเทพแล้ว ก็ไม่ต้องมีร่างสังขารเป็นมนุษย์ก็ได้ครับ เป็นจิตวิญญาณที่มีตำแหน่งเป็นเทพ ก็เท่านั้นเอง เอาละ บทความนี้่เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ เพลินๆ เป็นนิทานนะครับ ที่เหลือลองไปรู้เอง ก็จะได้รู้ในมุมที่แตกต่างจากผมนะครับ ขอจบลงเท่านี้ สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บางตัวตน (กายทิพย์) ของคุณ หลงอยู่ในจักรวาลบ้างหรือเปล่า?
ฮัลโหล่ฮ่า วันนี้ หนูมาดีจะมาเม้าท์เรื่องหนุกๆ ให้ฟังกันตอนดึกๆ ตามเวลาประเทศไทยนะคะ หนูมาดี มีเรื่องสนุกมั๊กๆๆ เลยค่ะ คือ เรื่องตัวตนของมนุษย์โลกที่หลุดลอยไป ล่องลอยไปกลางที่ว่างของจักรวาลค่ะ พอเข้าใจนะคะว่าในกายสังขารของคุณมีตัวตนระดับทิำพย์มากกว่าหนึ่งตัวตนและบางตัวตนนั้นอาจหลงทางได้ค่ะ ปกติคนที่ไม่มีพลังจิตที่เรียกว่า "มโนมยิทธิ" จะทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ จิตวิญญาณหรือตัวตนระดับทิพย์เชิงซ้อนของเขา จะซ้อนอยู่ในกายของเขาค่ะ แต่ถ้าเขาได้มโนมยิทธิแล้วเขาไปได้ค่ะ ปัญหาคือ "ไปได้แล้วกลับถูกไหมละคะ?" อืม หนูยกตัวอย่างนะคะ พระพุทธเจ้าเนี่ยแหละค่ะ ท่านเมตตาหวังดีก็เลยเตือนพระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากเลยค่ะ ว่าถ้าไปท่องจักรวาลนะ รีบกลับละ อย่าไปไกลมาก อะไรแบบนั้น แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านเตือนจริงๆ พระโมคคัลลานะที่มีฤทธิ์มาก ยังหลงได้ค่ะ ก็ธรรมดาค่ะจักรวาลกว้างใหญ่ใครจะไม่หลงบ้างได้ละคะ แต่ท่านก็โชคดีได้พระพุทธเ้จ้าในจักรวาลอื่น ส่องแสงธรรมนำทางให้ค่ะ อันนี้ หนูมาดี แนะนำให้ท่านไปอ่านเอาเอง หนูขี้เกียจอ้างอิงข้อมูลค่ะ เพราะหนูไม่ใช่นักวิชาการ หนูคือ "ซุปเปอร์เม้าท์" ค่ะ อะโฮ่ๆๆๆ
เรากลับมาเรื่อง "กายทิพย์หลงทางกลางจักรวาล" กันนะคะ อยากจะบอกให้ท่านระวังนิดหนึ่ง เพราะตอนนี้ แหม ใครก็เห่อของใหม่ค่ะ คิดว่าเฮ้ย มันทำได้ มันพูดได้ เผยแพร่ธรรมจักรวาลได้ ฉันไปอ่านๆ มั่งก็ทำได้เหมือนกัน เพราะอ่านง่ายเข้าใจง่ายดี ไม่เห็นจะยากเลย (เวลาไปอ่านของเขาที่เขาอธิบายง่ายๆ นะคะ) ก็เลยตั้งตัวเป็นครูสอนเรื่องจักรวาล มิติสูงๆ อะไรกันใหญ่ อะโฮ่ๆๆ ยังไม่เคยเจ็บตัว ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าตอนที่จิตวิญญาณหรือกายทิพย์บางกายทิพย์ หลงอยู่ในจักรวาลนี้ ส่งผลต่อ "วิถีชีวิตจริง" ของตนเองอย่างไรต่อไป เพราะจิตวิญญาณที่หลงอยู่นั้น ถ้าเป็นพลังสายพรหม เขาอยู่ได้ค่ะ ลอยเท่งเต้งอยู่ ไม่กินอะไร มีฌานหล่อเลี้ยงจิตค่ะ แต่ถ้าเป็นจิตวิญญาณที่ไม่อาจทำแบบนี้ได้ละคะ ก็แย่หน่อยนะคะ ดังนั้น หนูมาดีจึงแนะวิธีัป้องกันตัวตนระดับทิพย์จรหลุดไปท่องจักรวาลโดยไม่รู้ตัวไว้ค่ะ คือ "การทำงานใช้กาย" นี่แหละค่ะ เช่น เป็นชาวนาก็ได้มันจะทำให้ตัวตนระดับทิพย์ต้องเชื่อมต่อกับตัวตนระดับสังขารได้ดีค่ะ แต่ถ้าวันๆ ไม่ค่อยทำงานอะไรเลย มีแต่นั่งสมาธิ (แบบพระ) อันนี้ ก็เสี่ยงมากหน่อยนะคะ เผลอจรไปได้ค่ะ
เอาละ สรุปว่า การเผยแพร่เรื่องธรรมจักรวาล, ต่่างดาว, มิติที่สูงขึ้น ก็ทำได้ค่ะ แต่ต้องทำด้วยความเข้าใจและระมัดระวังด้วยนะคะ เช่น ถ้าคุณใช้การสื่อสารกับพวกเขา ไม่ได้มีตัวตนระดับทิพย์หลุดออกไป มันก็ไม่เสี่ยงนะคะ (แต่ใครจะรู้ละคะว่าคุณไม่พลาดเช่นนั้นไปได้ตลอด?) บางคนก็แค่แปลของคนอื่นมา อันนี้ ปลอดภัยค่ะ บางคนก็แค่ใช้ญาณหยั่งไปเฉยๆ ไม่ได้มีตัวตนระดับทิพย์หลุดออกไป อันนี้ก็ยังปลอดภัย แต่ก็ไม่แน่ค่ะ เพราะ "บางสิ่ง" อาจดึงตัวตนระดับทิพย์คุณออกไปหรือเมื่อตัวตนระดับทิพย์คุณออกไปแล้ว เขาเล่นงานคุณได้ ขณะท่องอยู่ในที่ว่างของจักรวาลนะคะ เอาละค่ะ ถ้าเจ๋งจริง เอาตัวรอดได้ ก็ไม่มีปัญหาค่ะ ประมาทหรือไม่ประมาทก็อยู่ที่ท่านเอง หนูมาดีบะบายค่ะ
เรากลับมาเรื่อง "กายทิพย์หลงทางกลางจักรวาล" กันนะคะ อยากจะบอกให้ท่านระวังนิดหนึ่ง เพราะตอนนี้ แหม ใครก็เห่อของใหม่ค่ะ คิดว่าเฮ้ย มันทำได้ มันพูดได้ เผยแพร่ธรรมจักรวาลได้ ฉันไปอ่านๆ มั่งก็ทำได้เหมือนกัน เพราะอ่านง่ายเข้าใจง่ายดี ไม่เห็นจะยากเลย (เวลาไปอ่านของเขาที่เขาอธิบายง่ายๆ นะคะ) ก็เลยตั้งตัวเป็นครูสอนเรื่องจักรวาล มิติสูงๆ อะไรกันใหญ่ อะโฮ่ๆๆ ยังไม่เคยเจ็บตัว ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าตอนที่จิตวิญญาณหรือกายทิพย์บางกายทิพย์ หลงอยู่ในจักรวาลนี้ ส่งผลต่อ "วิถีชีวิตจริง" ของตนเองอย่างไรต่อไป เพราะจิตวิญญาณที่หลงอยู่นั้น ถ้าเป็นพลังสายพรหม เขาอยู่ได้ค่ะ ลอยเท่งเต้งอยู่ ไม่กินอะไร มีฌานหล่อเลี้ยงจิตค่ะ แต่ถ้าเป็นจิตวิญญาณที่ไม่อาจทำแบบนี้ได้ละคะ ก็แย่หน่อยนะคะ ดังนั้น หนูมาดีจึงแนะวิธีัป้องกันตัวตนระดับทิพย์จรหลุดไปท่องจักรวาลโดยไม่รู้ตัวไว้ค่ะ คือ "การทำงานใช้กาย" นี่แหละค่ะ เช่น เป็นชาวนาก็ได้มันจะทำให้ตัวตนระดับทิพย์ต้องเชื่อมต่อกับตัวตนระดับสังขารได้ดีค่ะ แต่ถ้าวันๆ ไม่ค่อยทำงานอะไรเลย มีแต่นั่งสมาธิ (แบบพระ) อันนี้ ก็เสี่ยงมากหน่อยนะคะ เผลอจรไปได้ค่ะ
เอาละ สรุปว่า การเผยแพร่เรื่องธรรมจักรวาล, ต่่างดาว, มิติที่สูงขึ้น ก็ทำได้ค่ะ แต่ต้องทำด้วยความเข้าใจและระมัดระวังด้วยนะคะ เช่น ถ้าคุณใช้การสื่อสารกับพวกเขา ไม่ได้มีตัวตนระดับทิพย์หลุดออกไป มันก็ไม่เสี่ยงนะคะ (แต่ใครจะรู้ละคะว่าคุณไม่พลาดเช่นนั้นไปได้ตลอด?) บางคนก็แค่แปลของคนอื่นมา อันนี้ ปลอดภัยค่ะ บางคนก็แค่ใช้ญาณหยั่งไปเฉยๆ ไม่ได้มีตัวตนระดับทิพย์หลุดออกไป อันนี้ก็ยังปลอดภัย แต่ก็ไม่แน่ค่ะ เพราะ "บางสิ่ง" อาจดึงตัวตนระดับทิพย์คุณออกไปหรือเมื่อตัวตนระดับทิพย์คุณออกไปแล้ว เขาเล่นงานคุณได้ ขณะท่องอยู่ในที่ว่างของจักรวาลนะคะ เอาละค่ะ ถ้าเจ๋งจริง เอาตัวรอดได้ ก็ไม่มีปัญหาค่ะ ประมาทหรือไม่ประมาทก็อยู่ที่ท่านเอง หนูมาดีบะบายค่ะ
จอมยุทธ์มีจริงอ่ะป่าว ถ้ามีจริงแล้วหายไปไหน?
จอมยุทธ์มีอยู่จริงครับ พวกเขาก็คือ "นักการเมืองนอกกฏหมาย" ที่จะมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเริ่มต้นจาก รวบรวมผู้คนให้มากไว้ เช่น การตั้งสำนัก แล้วนำพาผู้คนไปเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น ในยุคก่อตั้งราชวงศ์หมิง จูหยวนจาง ก็ได้อาศัย "พรรคหมิงเจี้ยว" ช่วยให้ได้ครองอำนาจครับ อันนี้ ไปดูหนังเรื่อง "ดาบมังกรหยก" ก็แล้วกันง่ายดี ขี้เกียจอธิบายมาก ฮ่าๆๆ แต่เนื่องจากว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งหลายครั้งก็อยู่นอกกฏหมาย และอาจจะขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจเก่ามันก็เลยต้องเคลื่อนไหวแบบลับๆ เงียบๆ เรื่องราวของพวกเขาเลยไม่อาจได้รับการบันทึกไว้ใน "หน้าประวัติศาสตร์ของชาติได้" แต่กลายเป็น "นิทานเล่าสืบกันมา ถึงเกร็ดประวัติศาสตร์" เท่านั้น เช่น เรื่องตำราพิชัยสงครามงักฮุย (แม่ทัพที่เก่งมากรบชนะทุกครั้งแต่ถูกใส่ร้ายจนต้องถูกประหารชีวิต) ซึ่ง "กิมก๊ก" หรือ แคว้นจิน ต้องการมาก ถึงขนาดไล่ล่าหาจนกลายเป็นเรื่องมังกรหยก แล้วปรากฏว่าคนที่ได้ไปก็คือ "ก้วยเจ๋ง" ใช้ต้านทัพมองโกลในสมัยเซลุย เห็นจะได้ (เซลุึยคือรุ่นลูกของเจงกิิสข่าน) ตอนนั้นยังได้อยู่ต่อมาสมัยก้วยเซียง เข้าสมัยกุบไลข่านแล้ว ก้วยเซียงพยายามตั้งสำนักง้อไบ้ รวบรวมชาวฮั่น แต่ต้านไม่ไหว ถูกมองโกลฆ่าตาย จนกุบไลข่านก่อตั้งราชวงศ์หยวนได้ เอาละ สรุป นิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยก ก็คือ เกร็ดประวัติศาสตร์จีนที่เกี่ยวข้องกับ "การเมืองภาคประชาชน" ที่เึคลื่อนไหวอยู่นอก "กำแพงกฏหมายบ้านเมือง" นั่นเอง (ตอนนั้น ราชวงศ์ซ่งหรือซ้อง เสื่อมลงมาก จนทำอะไรไม่ได้เลย เจงกิสข่านขยายอิทธิพลรอบทิศ เรียกว่าใช้กลยุทธ์ "ป่าล้อมเมือง" ตัดรอนอำนาจหมดครับ)
ถามว่า "ชายยุทธ์มีจริงแล้วหายไปไหน?" คำตอบง่ายมากจ๊ะ ก็ถูกกวาดล้างไง ในสมัยฮ่องเต้ "เฉียนหลง" พระองค์ทรงทราบว่ายังมีกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอยู่นอกระบบ กำลังเปลี่ยนแปลงการเมือง และจะกระทบถึงความมั่นคงของราชวงศ์ตนเองได้ จึงปลอมพระองค์เข้าไปใน "เส้าหลิน" เพื่อศึกษาวิชาและสืบความจริงก่อน เมื่อทราบว่า "เส้าหลินเป็นเสาหลักของยุทธภพ" ก็เลยวางแผนกวาดล้างวัดเส้าหลิน (แต่พระองค์ก็สร้างวัดใหม่แทนที่ ฉลองอายุครบ ๖๐ ปีด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าพระองค์จะเลวร้ายหรือเกลียดพระไปหมด) ทีนี้ พอเส้าหลินล่มสลายแล้ว ต่อมา ก็เก็บกวาดส่วนที่เหลือ ไม่ยากแล้วครับ ตอนเก็บกวาดอย่างไรนี้ ให้ท่านไปดูหนังเรื่อง "จิ้งจอกภูเขาหิมะ" นะครับ สนุกดี ขี้เกียจอธิบายให้ฟัง ฮ่าๆๆ เอาละ ท้าวความนิดส์นึง ว่าวัดเส้าหลิน กำเนิดมาอย่างไร มาอย่างนี้ครับ "ฮ่องเต้เฮาบุ้งตี่" (ถ้านามผิดขออภัย แต่มีอยู่องค์หนึ่งแน่ละ) ก่อตั้งขึ้นมาครับ โดยท่านได้ตำราคัมภีร์ของท่านตั๊กม้อมาครับ เลยใช้โฆษณาเรียกศรัทธาให้คนมาบวชเรียนกันได้มากมาย กลายเป็นกองกำลัง "นอกเครื่องแบบ" ไปเลย (หลังจากนั้นราชวงศ์ถังสิ้นลง แผ่นดินจีนแตกเป็นแคว้นเล็กๆ) บวชพระนี่ไม่หวังนิพพานกันหรอก เหมือนพระพม่าที่บวชหนีการล่าล้างของรัฐบาลทหารนั่นแหละ โฮ่ๆๆ เหมือนกันเปี้ยบเลย เขาเอาไว้เคลื่อนไหวทางการเมือง อันนี้ เหมือนใครก็ไปดู "สันติอโศก" เอา ละกัน นั่นละ ตัวอย่างของบ้านเรา โอ้ย จะว่าไปจอมยุทธ์มีออกเยอะแยะ "ตาถั่วมองไม่ออกเอง" ฮ่าๆๆ กลับมาเรื่องเส้าหลินซึ่งท่านตั๊กม้อไม่ได้มีเอี่ยวด้วยเลย เป็นพระอรหันต์จะไปยุ่งการเมืองในประเทศจีนเขาได้ไง (ท่านเป็นเชื้อสายราชบุตรทางอินเดียนะครับ) แต่หลังท่านมรณภาพแล้ว ท่านหุยเคอศิษย์ตัวจริงของท่าน รักษาไว้ได้แต่บาตรแล้วสืบทอดกันมา ๖ รุ่นจบที่ท่านเว่ยหลาง เท่านั้น ตำราคัมภีร์เลยตกสู่มือ "วัดเส้าหลิน" ไป เอาละ นี่เล่าย่อๆ ไปดูหนังจีนกันเอาเอง
ปัญหาคือ จีนเขาเป็นคอมมิวนิสต์ การพูดโป้งๆ ออกไปว่าจอมยุทธ์มีจริงจะกลายเ็ป็นเรื่องใหญ่มากๆๆ เพราะพวกเขาคือคนที่เล่นการเมืองนอกระบบอยู่ นั่นเอง เรื่องราวของจอมยุทธ์จึงต้องกลายเป็นเพียงตำนานหรือนิทานเล่าสืบๆ กันมาในกลุ่มประชาชนกลุ่มแคบๆ เท่านั้น ไม่อาจยกระดับขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ของชาติได้ แล้วท่าน "กิมย้ง" ก็คงไปสืบสาวเกร็ดประวัติศาสตร์เหล่านี้ เรียบเรียงมาแต่งเติมเป็นนิยายกำลังภายใน ก็เท่านั้น เอาละ "ใครมีจิตวิญญาณของจอมยุทธ์" ดูหนังจอมยุทธ์จะทราบเองว่า "เคลื่อนไหวทางการเมืองแบบนอกระบบ" นั้น เขาทำกันอย่างไร? ไม่บอกให้โง่หรอกคร่ะ ฮ่าๆๆ ใครมีพรสวรรค์ก็บวกพรแสวงไปศึกษาค้นคว้ากันเอาเองเด้อ สิบอกไห่...
ถามว่า "ชายยุทธ์มีจริงแล้วหายไปไหน?" คำตอบง่ายมากจ๊ะ ก็ถูกกวาดล้างไง ในสมัยฮ่องเต้ "เฉียนหลง" พระองค์ทรงทราบว่ายังมีกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอยู่นอกระบบ กำลังเปลี่ยนแปลงการเมือง และจะกระทบถึงความมั่นคงของราชวงศ์ตนเองได้ จึงปลอมพระองค์เข้าไปใน "เส้าหลิน" เพื่อศึกษาวิชาและสืบความจริงก่อน เมื่อทราบว่า "เส้าหลินเป็นเสาหลักของยุทธภพ" ก็เลยวางแผนกวาดล้างวัดเส้าหลิน (แต่พระองค์ก็สร้างวัดใหม่แทนที่ ฉลองอายุครบ ๖๐ ปีด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าพระองค์จะเลวร้ายหรือเกลียดพระไปหมด) ทีนี้ พอเส้าหลินล่มสลายแล้ว ต่อมา ก็เก็บกวาดส่วนที่เหลือ ไม่ยากแล้วครับ ตอนเก็บกวาดอย่างไรนี้ ให้ท่านไปดูหนังเรื่อง "จิ้งจอกภูเขาหิมะ" นะครับ สนุกดี ขี้เกียจอธิบายให้ฟัง ฮ่าๆๆ เอาละ ท้าวความนิดส์นึง ว่าวัดเส้าหลิน กำเนิดมาอย่างไร มาอย่างนี้ครับ "ฮ่องเต้เฮาบุ้งตี่" (ถ้านามผิดขออภัย แต่มีอยู่องค์หนึ่งแน่ละ) ก่อตั้งขึ้นมาครับ โดยท่านได้ตำราคัมภีร์ของท่านตั๊กม้อมาครับ เลยใช้โฆษณาเรียกศรัทธาให้คนมาบวชเรียนกันได้มากมาย กลายเป็นกองกำลัง "นอกเครื่องแบบ" ไปเลย (หลังจากนั้นราชวงศ์ถังสิ้นลง แผ่นดินจีนแตกเป็นแคว้นเล็กๆ) บวชพระนี่ไม่หวังนิพพานกันหรอก เหมือนพระพม่าที่บวชหนีการล่าล้างของรัฐบาลทหารนั่นแหละ โฮ่ๆๆ เหมือนกันเปี้ยบเลย เขาเอาไว้เคลื่อนไหวทางการเมือง อันนี้ เหมือนใครก็ไปดู "สันติอโศก" เอา ละกัน นั่นละ ตัวอย่างของบ้านเรา โอ้ย จะว่าไปจอมยุทธ์มีออกเยอะแยะ "ตาถั่วมองไม่ออกเอง" ฮ่าๆๆ กลับมาเรื่องเส้าหลินซึ่งท่านตั๊กม้อไม่ได้มีเอี่ยวด้วยเลย เป็นพระอรหันต์จะไปยุ่งการเมืองในประเทศจีนเขาได้ไง (ท่านเป็นเชื้อสายราชบุตรทางอินเดียนะครับ) แต่หลังท่านมรณภาพแล้ว ท่านหุยเคอศิษย์ตัวจริงของท่าน รักษาไว้ได้แต่บาตรแล้วสืบทอดกันมา ๖ รุ่นจบที่ท่านเว่ยหลาง เท่านั้น ตำราคัมภีร์เลยตกสู่มือ "วัดเส้าหลิน" ไป เอาละ นี่เล่าย่อๆ ไปดูหนังจีนกันเอาเอง
ปัญหาคือ จีนเขาเป็นคอมมิวนิสต์ การพูดโป้งๆ ออกไปว่าจอมยุทธ์มีจริงจะกลายเ็ป็นเรื่องใหญ่มากๆๆ เพราะพวกเขาคือคนที่เล่นการเมืองนอกระบบอยู่ นั่นเอง เรื่องราวของจอมยุทธ์จึงต้องกลายเป็นเพียงตำนานหรือนิทานเล่าสืบๆ กันมาในกลุ่มประชาชนกลุ่มแคบๆ เท่านั้น ไม่อาจยกระดับขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ของชาติได้ แล้วท่าน "กิมย้ง" ก็คงไปสืบสาวเกร็ดประวัติศาสตร์เหล่านี้ เรียบเรียงมาแต่งเติมเป็นนิยายกำลังภายใน ก็เท่านั้น เอาละ "ใครมีจิตวิญญาณของจอมยุทธ์" ดูหนังจอมยุทธ์จะทราบเองว่า "เคลื่อนไหวทางการเมืองแบบนอกระบบ" นั้น เขาทำกันอย่างไร? ไม่บอกให้โง่หรอกคร่ะ ฮ่าๆๆ ใครมีพรสวรรค์ก็บวกพรแสวงไปศึกษาค้นคว้ากันเอาเองเด้อ สิบอกไห่...
วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ทำอย่างไรกับ "Parasite ghost" ผีพยาธิที่ติดมากับเครื่องมือเครื่องใช้่ต่างๆ
สวัสดีตอนค่ำครับบทความนี้อ่านกันเล่นๆ นะครับ อย่าคิดมากละ เป็นนิทานก่อนนอนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะตกใจกันใหญ่เพราะเป็น "หนังผี" อ่ะ ซะงั้น แต่สำหรับท่านทั้งหลายที่เลื่อนระดับมาได้ขนาดนี้แล้ว คงไม่ใช่ปัญหานะครับ รับได้อยู่แล้ว สบายๆ ใช่มั้ยละครับ คือ มันเป็นเรื่องของอะไรดีละ ผมไม่รู้จะเรียกเจ้าตัวนี้ว่าอะไรดี มันเป็นเหมือนตัวหนอนยาวๆ มีหัวนิดๆ หางยาวๆ เหมือนพยาธิหรือหนอนอุปมาก็คล้ายแบคทีเรียในลำใส้เรานี่ละ ในยามที่มันเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโทษ ก็จะมี "ตาสีแดงๆ" แต่เวลาที่ได้รับการชำระล้างพลังงานได้ระดับหนึ่ง คิดว่าพอจะพ้นขีดอันตรายแล้ว ก็จะเปลี่ยนเป็น "ตาสีฟ้าๆ" เหมือนกับแบคทีเรียที่อยู่ในตัวเราได้ ปรับตัวได้ ไม่เกิดโทษนัก (ดีกว่าพวกแรกหน่อยหนึ่ง) อะไรประมาณนั้น แต่นี่ไม่ได้อยู่ในมิติแห่งสังขารนะครับ เป็นมิติทิพย์พวกนี้จะมีการเติบโตและพัฒนาการต่างจากผีอื่นๆ ทั่วไป มาแรกๆ ก็มีลักษณะแบบนี้ เหมือนพยาธิไปก่อน แต่พอได้รับพลังงานจากมนุษย์มากเข้าก็จะค่อยๆ เติบโต จนกระทั่งมีพัฒนาการมากพอที่จะ "แปลงร่างเหมือนมนุษย์" ได้ เมื่อเพ่งด้วย "ตาทิพย์" บางทีเราจะเห็นเขาเหมือน "กายมนุษย์" อยู่ชั้นนอกของคนๆ นั้น แต่แท้แล้วเป็นร่างแปลงนะครับ ไม่ใช่ร่างจริง และไม่ใช่ "จิตวิญญาณของเจ้าของร่าง" (จิตวิญญาณของเจ้าของร่างจะอยู่ชั้นในไปอีก เป็นกายทิพย์ชั้นในเข้าไป) เอาละ พวกนี้มาได้อย่างไรบ้างจะค่อยๆ เล่าเป็นนิทานครับ
เริ่มจาก พวกนี้ จะไม่มีฤทธิ์เท่าพวกอื่น เลยอาศัย "เกาะเี่กี่ยวอยู่กับอะไรที่พอจะอาศัยได้" เช่น คน, สัตว์, สิ่งของ ฯลฯ ต่างๆ (อาศัยว่าพวกมันตัวเล็กมากเลยรอดพ้นตาทิพย์และจิตสัมผัสได้ครับ) และสิ่งที่พวกมันต้องการเกาะเกี่ยวมากๆ คือ เครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ที่มีลักษณะรองรับพลังจิตได้มากๆ เช่น ทีวี, มือถือ, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ นี่ เพราะพวกมันจะต้องรับพลังจิตจากคน ขณะที่คนใช้สิ่งของเหล่านี้นะครับ แล้วมันจึงจะเติบโตขึ้นมาได้ และพลังจิตที่พวกมันจะรับเพื่อใช้หล่อเลี้ยงตัวเอง จะต้องเป็น "พลังที่มีกิเลสเยอะๆ" ครับ เช่น ในคนที่ใช้มือถือโทรหาแฟนมากๆ อะไรแบบนี้ พวกนี้ก็จะชอบครับแต่ในคนที่ใช้มือถือคุยธรรมะกันมากๆ อันนี้เขาไม่ชอบ พลังงานมันต่างกันทำให้พวกเขาไม่สบายครับ เหมือนน้ำกะไฟ นั่นแหละ มันเข้ากันไม่ได้ ในคนที่ใช้สิ่งของต่างๆ อย่างไม่เข้าใจ, ตามกิเลส, ไร้จริยธรรม เจ้าพวกนี้ก็จะเติบโตได้ดีครับ เมื่อเติบโตแล้วจะยิ่งครอบงำให้คนใช้สิ่งของนี้ ให้แย่หนักลงอีกเช่น ยิ่งติดเกมมากยิ่งขึ้น, ยิ่งคุยโทรศัพท์นานยิ่งขึ้น, ยิ่งขี่รถมอไซต์ แว๊นท์บ่อยขึ้น, ยิ่งแชทนานมากยิ่งขึ้น ฯลฯ พอมองออกนะครับ มันจะทำให้ "พฤติกรรมการใช้เครื่องมือต่างๆ ของมนุษย์เป็นไปในทางที่แย่ลง" คือ แทนที่จะใช้อย่างผู้มีปัญญา ตามเหมาะ ตามความจำเป็น กลายเป็น "ลักษณะนิสัยในการใช้เครื่องมือที่ไม่ดี" ไป เช่น เอาคอมพิวเตอร์ไปเล่นเกมทั้งวัน แทนที่จะเอาไปใช้ทำงาน อะไรแบบนั้น นั่นละ ผลงานของเจ้าผีพยาธิเหล่านี้นี่เอง
สุดท้ายนี้ ก็ถามว่า แล้วจะทำอย่างไรกับเจ้าพวกนี้ดีละ? คำตอบก็คือ เราก็ "ชำระล้าง" พวกเขาไง อย่ากลัว, อย่าตกใจ, อย่าเพิ่งมองเขาในแง่ร้ายแล้วปฏิเสธไปหมดละ นี่คือ โอกาสที่ดีที่เราจะได้พัฒนาความสามารถในการชำระล้างเพื่อการยกระดับของเราครับ (ยิ่งเราชำระล้างได้มากเท่าใด ก็จะยกระดับได้สูงมากเท่านั้น) เราก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้ ในทางสร้างสรรค์ให้ได้ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้่ไปในทางที่ไม่ควร เพื่อไม่ให้พลังจิตของเรากลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงเจ้าพวกนี้นะครับ เอาละ เล่านิทานให้ฟังกันเล่นๆ คลายเบื่อแก้เซ็ง ที่เหลือก็ต้องปล่อยให้ "รู้ได้ด้วยตนเอง" ละครับ เล่าให้ฟังได้เท่านี้ ไปก่อนละคร้าบ...
อยู่กับรูปเคารพอย่างไร ไม่ตกเป็นทาสของซาตาน?
สวัสดียามเช้าครับ อ่ะ วันนี้ได้ประเด็นหนึ่งมาเม้าท์ละ คือ เรื่อง "รูปเคารพ" ซึ่งหมายรวมทั้ง เทวรูป, รูปปั้น, รูปหล่อ ฯลฯ ทั้งหมด ที่คนนำมาเคารพบูชานะครับ คำถามคือ เราควรจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างไรดี แน่นอนครับ "ผู้มีปัญญาย่อมเห็นทางสายกลาง" ไม่ใช่พวกสุดโต่งที่คิดทำลายล้างรูปเคารพไปซะหมด ในขณะเดียวกันก็เข้าใจและไม่ถูกครอบงำโดยรูปเคารพนะครับ เช่น เขาก็ปรับตัวอยู่กับรูปเคารพได้ เหมือนกับคนอื่นๆ ในประเทศนั้น แต่เขาไม่ได้หลงนะึครับ ทีนี้ มาดูคนที่ "สุดโต่ง" กันบ้าง ว่าสุดๆ ไปทางไหนกัน มันก็มี ๑. พวกสุดโต่งแบบต่อต้านและคิดทำลายล้างไปเลย อันนี้ก็เหนื่อยหน่อยเพราะ้ต้องไปทะเลาะกับชาวบ้านเขา ที่เขาเชื่อถือกันแบบนั้น ๒. พวกสุดโต่งที่หลงยึดมั่นรูปเคารพมากเกินไป อันนี้ คงไม่ต้องอธิบายนะครับ เพราะคิดว่าท่านคงเข้าใจได้ไม่ยาก อ่ะ แล้วยังมีอีกพวกหนึ่ง คือ "สุดโต่ง" โดยการไป "ใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นพวกบูชารูปเคารพ" เช่น เห็นคนที่มีการปรับตัวอยู่ได้กับสิ่งเหล่านี้ (โดยไม่หลง) เหมาว่าเขาเป็นพวกบูชารูปเคารพไปด้วย (โดยไม่มามองให้ลึกซึ้งจริงๆ พอเห็นเขากราบไหว้ก็หาว่าเขาหลงไปซะแล้ว?) แล้วยังมีอีกพวกหนึ่ง ตัวเขาทำเหมือนไม่ได้บูชารูปเคารพ ไม่ไหว้ ไม่อะไร แต่ "ใจกลับเป็นพวกบูชารูปเคารพเต็มๆ เลย" อันนี้ ดูออกยาก ยังไงละครับ? เช่น ทำตัวเปลือกนอกเป็นคนไม่บูชารูปเคารพ แต่ในใจต้องการอย่างนั้น อยากได้อย่างนี้ แล้วก็ได้ประจำ ถามว่าได้เพราะอะไร? เพราะพลังงานในรูปเคารพนั่นหละที่ทำให้ มอบให้ แล้วเขาก็ยินดีรับเลย อันนี้ ก็มีนะครับ ดังนั้น เีี่ราจะไปเหมาเอาว่าคนที่ไหว้รูปเคารพ เขาหลง ก็ไม่ได้ เขาอาจจะไหว้ไปตามประเพณี ก็แค่นั้น ตรงข้าม คนที่ไม่ไหว้ แต่ใจมันหลงไปแล้วก็มี อย่างที่บอก เช่น เป็นพวกมีใจร้องขอสิ่งศักดิสิทธิ์ให้ช่วยทำอย่างนั้น อย่างนี้บ่อยๆ ทีนี้ พอสิ่งศักดิสิทธิ์ยังไม่ทันทำอะไรให้เลย ซาตานมาทำให้ก่อน เขาก็ยอมรับไปเลย ไม่ทันรอดูว่าเขาได้รับจากอะไร ด้วยความที่ประมาท คิดว่าตนไม่บูชารูปเคารพ และหลงตัวเองว่าตนมีบุญมากไงครับ ก็เลยคิดเอาว่าทุกอย่างที่ตนได้รับ มันมีสาเหตุมาจากผลบุญเสมอไป ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ เหมารวมอย่างนั้น ไม่ได้ครับ เพราะบางอย่างก็มีจาก "ภาคมืดหรือซาตาน" หยิบยื่นให้เหมือนกัน แล้วพอเขาไม่ทันพิจารณาก็หลงคิดว่าเป็นบุญของตัวเองแล้วก็เลยรับไปครับ
เอาง่ายๆ นะ คนไทยเราก็กราบไหว้บูชารูปเคารพกันมากมาย ท่านว่าคนที่หลงกับคนที่ไม่หลงมีเท่าไร? มันก็ปนๆ กันนั่นแหละ ใช่ไหมละครับ เช่น ร. ๕ ก็ไหว้ "พระสยามเทวาธิราช" ทุกวัน เอาไว้ที่หัวนอนด้วย (ท่านอ่านประวัติได้เลย) แล้วเราดูทีวีก็ได้ คนไทยตั้งแต่รากหญ้าถึงยอดพีรามิด ก็ต้องคล้อยตามประเพณีไหว้รูปเคารพกันทั้งนั้น แต่เราจะไปทราบได้อย่างไรว่า "ใครหลง ใครไม่หลงละ" ใช่ไหมละครับ คนบางคนทำเป็นแสร้งไหว้ไปงั้นๆ เพราะต้องออกงาน ตามพิธีต่างๆ เดี๋ยวจะผิดไปจากคนไทย ทำเหมือนว่าไม่หลง แต่ที่ไหนได้ก็โดนเข้าเต็มๆ เลยก็มี คือ เปลือกนอกเหมือนไม่อยากไหว้ ทำแสร้งๆ ไหว้ไป แต่ในใจ "ร้องขอ" อยู่เรื่อยๆ ครับ ทำให้ภาคมืดหรือซาตานได้ช่อง เอานั่น เอานี่มาให้ประำจำ (สังเกตุว่าสิ่งที่เอามาให้ มันจะเกินไปหน่อยไม่ใช่ของเล็กๆ น้อยๆ อาหารเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตำแหน่งสูงๆ ที่ไม่ควรจะได้รับ ก็ดันได้รับ) แล้วเขาก็ยินดีรับ แม้ว่าเปลือกนอกจะดูเหมือนไม่หลงเวลาไหว้รูปเคารพก็ตามแต่ "ใจเต็มไปด้วยการร้องขอ" แบบนี้ "หลงเต็มเปา" เลยครับ ไม่้ต้องไปว่าใครอื่นเลย ดูที่ผลออกมาสิครับ คนที่ไม่หลง ชีวิตมันก็ปกติ เรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษหวือหวา ต่อให้ไหว้ ก็ไหว้ไปตามประเพณี ไม่ได้ยึดอะไรหรอก ส่วนคนที่ไม่ไหว้ที่คิดว่าตัวเองไม่หลงนั้น ถ้าใจร้องขอ อยากได้เรื่อยๆ มันก็จะได้ "อะไรที่มากเกินกว่าที่ควรจะได้รับ" ครับ นั่นแหละ เปลือกนอกดูไม่หลง แต่ใจมันหลงเต็มเปาไปแล้ว แม้ไม่ไหว้รูปเคารพ แต่เสร็จซาตานไปแล้ว
เอาละ ทีนี้ เราจะอยู่กับรูปเคารพอย่างไรละ? ถ้าเรามีปัญญาเข้าใจซะอย่าง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เราจะปรับตัวได้ เขาไหว้กันเราก็ไหว้ไปงั้นๆ ไม่ได้ใช้พลังจิต หรือร้องขออะไรๆ ก็เหมือนก็เราทำท่าอะไรสักอย่างหนึ่ง การยกมือขึ้นประนมนี่ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการยกมือเกาหัว หรืออะไรต่อมิอะไรหลายท่า ถ้าไม่ยึดนะครับ แต่ถ้าหลงอยู่ แม้ไม่ได้ยกมือขึ้นไหว้รูปเคารพ แต่ใจร้องขอบ่อยๆ มันก็โดนภาคมืดหรือพวกซาตานครอบงำแน่นอนครับ ดังนั้น ถ้าคนไทยไหว้รูปเคารพโดยใจไม่ยึดนะ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าฝรั่งไม่ยอมไหว้รูปเคารพแต่ใจมันหลง นี่ ก็ต้องลองเอาไปคิดดูละ อย่าไปยึดติดแต่แค่ "ท่าทางที่เห็นคนยกมือขึ้นประนม" เท่านั้น มันสำคัญที่ "ใจ" ตะหากเล่า ...
เอาง่ายๆ นะ คนไทยเราก็กราบไหว้บูชารูปเคารพกันมากมาย ท่านว่าคนที่หลงกับคนที่ไม่หลงมีเท่าไร? มันก็ปนๆ กันนั่นแหละ ใช่ไหมละครับ เช่น ร. ๕ ก็ไหว้ "พระสยามเทวาธิราช" ทุกวัน เอาไว้ที่หัวนอนด้วย (ท่านอ่านประวัติได้เลย) แล้วเราดูทีวีก็ได้ คนไทยตั้งแต่รากหญ้าถึงยอดพีรามิด ก็ต้องคล้อยตามประเพณีไหว้รูปเคารพกันทั้งนั้น แต่เราจะไปทราบได้อย่างไรว่า "ใครหลง ใครไม่หลงละ" ใช่ไหมละครับ คนบางคนทำเป็นแสร้งไหว้ไปงั้นๆ เพราะต้องออกงาน ตามพิธีต่างๆ เดี๋ยวจะผิดไปจากคนไทย ทำเหมือนว่าไม่หลง แต่ที่ไหนได้ก็โดนเข้าเต็มๆ เลยก็มี คือ เปลือกนอกเหมือนไม่อยากไหว้ ทำแสร้งๆ ไหว้ไป แต่ในใจ "ร้องขอ" อยู่เรื่อยๆ ครับ ทำให้ภาคมืดหรือซาตานได้ช่อง เอานั่น เอานี่มาให้ประำจำ (สังเกตุว่าสิ่งที่เอามาให้ มันจะเกินไปหน่อยไม่ใช่ของเล็กๆ น้อยๆ อาหารเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตำแหน่งสูงๆ ที่ไม่ควรจะได้รับ ก็ดันได้รับ) แล้วเขาก็ยินดีรับ แม้ว่าเปลือกนอกจะดูเหมือนไม่หลงเวลาไหว้รูปเคารพก็ตามแต่ "ใจเต็มไปด้วยการร้องขอ" แบบนี้ "หลงเต็มเปา" เลยครับ ไม่้ต้องไปว่าใครอื่นเลย ดูที่ผลออกมาสิครับ คนที่ไม่หลง ชีวิตมันก็ปกติ เรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษหวือหวา ต่อให้ไหว้ ก็ไหว้ไปตามประเพณี ไม่ได้ยึดอะไรหรอก ส่วนคนที่ไม่ไหว้ที่คิดว่าตัวเองไม่หลงนั้น ถ้าใจร้องขอ อยากได้เรื่อยๆ มันก็จะได้ "อะไรที่มากเกินกว่าที่ควรจะได้รับ" ครับ นั่นแหละ เปลือกนอกดูไม่หลง แต่ใจมันหลงเต็มเปาไปแล้ว แม้ไม่ไหว้รูปเคารพ แต่เสร็จซาตานไปแล้ว
เอาละ ทีนี้ เราจะอยู่กับรูปเคารพอย่างไรละ? ถ้าเรามีปัญญาเข้าใจซะอย่าง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เราจะปรับตัวได้ เขาไหว้กันเราก็ไหว้ไปงั้นๆ ไม่ได้ใช้พลังจิต หรือร้องขออะไรๆ ก็เหมือนก็เราทำท่าอะไรสักอย่างหนึ่ง การยกมือขึ้นประนมนี่ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการยกมือเกาหัว หรืออะไรต่อมิอะไรหลายท่า ถ้าไม่ยึดนะครับ แต่ถ้าหลงอยู่ แม้ไม่ได้ยกมือขึ้นไหว้รูปเคารพ แต่ใจร้องขอบ่อยๆ มันก็โดนภาคมืดหรือพวกซาตานครอบงำแน่นอนครับ ดังนั้น ถ้าคนไทยไหว้รูปเคารพโดยใจไม่ยึดนะ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าฝรั่งไม่ยอมไหว้รูปเคารพแต่ใจมันหลง นี่ ก็ต้องลองเอาไปคิดดูละ อย่าไปยึดติดแต่แค่ "ท่าทางที่เห็นคนยกมือขึ้นประนม" เท่านั้น มันสำคัญที่ "ใจ" ตะหากเล่า ...
วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
มัวทำบุญหวังผล รอชาติหน้าไปทำไม? ทำ Whole in once กันไปเล้ยยย
ฮาโหลๆ
ยามบ่ายแก่ๆ ในวันหยุดแบบนี้ หลับกันไปหมดแล้วหรือยัง ถ้ายังขอเสียงกรี๊ดหน่อย
อ้ายยยย มันต้องอย่างนี้สิ ไม่มีสักแอะเลยอ่ะ ว่ะ ฮ่าๆๆ เอ้า มาเข้าเรื่องกันดีกว่า
บทความนี้ ผมจะมาเม้าท์ให้ฟังเรื่อง “การทำบุญหวังผล รอชาติหน้าได้รับ” กับ “การทำ
ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” ว่ามันต่างกันยังไง ขี้เกียจพูดมาก ผมถามคุณตรงๆ เลย คุณเคยไหมที่ได้รับอะไร
แบบที่ตัวเองไม่ได้ก่อกรรมให้ได้มา อยู่ๆ มันก็มาเอง เอ้าง่ายๆ
เสียงเพลงที่คุณไม่ได้เปิด ไม่ได้ต้องการ แล้วจู่ๆ มันก็มาจาก “คนข้างบ้าน” บ้าง, “คนข้างห้อง”
บ้าง ฯลฯ ถามหน่อย คุณรู้สึกอย่างไรครับ? โอ้ย ถามดั้ย ก็รำคาญกันทั้งนั้นแหละ
ใช่มั้ยฮะ แต่น้อยคนถึงน้อยมากๆ ที่จะคิดว่า “อ่า นี่เป็นบุญของบุญชูจริงๆ อยู่ดีๆ
ก็ได้ฟังเพลงฟรีแล้วว่ะ” ใครขืนไปคิดแบบนั้น เขาคงว่า “ไอ้นี่มันบ้านนอกจัดเลยว่ะ
คงไม่มีแม้แต่วิทยุจะเปิดฟัง?” ทว่า ไอ้คนแบบนี้แหละ ที่มันรู้จักคำว่า “พอใจในผลบุญเก่าที่ตนได้กระทำมา”
ส่วนคนแบบแรก (ที่รำคาญนั้น) จัดอยู่ในกลุ่ม ไม่ยินดีกับผลบุญเก่าที่ตนเองสร้างมา
อ้าว ทำไมเป็นยังงั้นละครับ? ง่ายๆ ครับ “ไม่เที่ยงไง”
ก็อีเวลาคุณทำบุญนั้นมันชาติไหนเล่า? มันอดีตชาติมาแล้ว ตอนนั้นกิเลส, ความชอบ,
รสนิยม ฯลฯ ของคุณมันก็อีกแบบหนึ่ง แต่ตอนที่คุณได้เสวยผลบุญนั้น กิเลส, ความชอบ,
รสนิยม ฯลฯ ของคุณในชาตินั้นๆ มันก็อย่างหนึ่ง “มันเปลี่ยนไปแล้ว สายไป เธอควรเก็บใจไว้
ให้กับคนที่เขารอเธออยู่เหมือนเดิม ...” อ้าว ร้องเป็นเพลงไปซะนั่น นั่นแหละ ก็เพราะว่ามันเปลี่ยนไปแล้วอย่างไรละคร้าบบบ
เอาละ สรุปง่ายๆ
นะ สมมุติว่า ณ ชาตินี้ คุณเกิดเป็นผู้หญิงนะ ชอบดาราผู้ชายหนึ่ง โอ้ แม่เจ้า
มันหล่อ, ขาวใส, ล่ำบึ้ก, น่ากินไปทั้งตัวเลย (พูดแล้วน้ำลายจะไหล ฮ่าๆๆ) สมมุตินะ
แค่สมมุติให้คุณลองจินตนาการเท่านั้น โอ้ย อย่าบรรเจิดเกินเลยเถิดไปซะก่อนละ
แล้วพอคุณเกิดความปรารถนา อีตอนทำบุญใหญ่ ก็ทำด้วยใจที่มันปรารถนาแบบนั้นพอดี คือ
อยากได้แบบนี้เป็นคู่ แล้วบังเอิ้ญ บังเอิญ ชาติต่อไปของคุณดันเกิดเป็น “ผู้ชาย”
พ้นจากกรรมที่ต้องเกิดเป็นหญิงแล้ว ทีนี้แหละ แม่เจ้าโว้ย ปัญหามันก็เกิดสิคร่ะ
ฮ่าๆๆ ถ้าเขาคนนั้นก็เกิดเป็นผู้ชายเหมือนกัน น่ะฮ่ะ ทีนี้ อกอีแป้นจะแตกแล้วค่ะ
ทำไงดีละเจ้าคะ? ก็มันทำบุญมายังเงี้ย จะเอาไงละ? เอ้า เอาก็เอา ว้าย อารายนะตัวเอ้ง
เสวยบุญกันไปเลยเจ้าคร่ะ แซ้ปเว้อร์ มั้ยเจ้าคะ? ฮ่าๆๆ แหม ถ้ามันมีกรรมนะ
กรรมจะบังตามันให้มันหลงชอบเขา ตามืดมัว มันก็แฮปปี้กันทั้งสองฝ่ายนะคะ
แต่ถ้ามันไม่มีกรรมบังตา มันก็เห็นโล่งโจ้งเจ้าค่ะ อั๊ยย๊ะ อะไรน่ะ
แท่งเบ่อเร่อเลย กูจะอ้วกแตก ไอ้ห่าเอ้ย เล่นเอากูเสียวหลังวาบๆ อะไรแบบนั้น
ใช่มั้ยละ ฮ่าๆๆ นี่ละน้าคนเรา กิเลส, รสนิยม ของแต่ละชาติ มันก็ไม่เหมือนกัน
แต่ดัน ไปทำบุญกำหนดเอาไว้ ให้มันได้อย่างนั้นที่ต้องการในชาตินั้นๆ ไว้
มันก็เลยต้องมาเสวยกัน กินกันเองละคร่ะ แซ้ปเวอร์มั้ยละเจ้าคร่ะ ไอ้คนที่หลงด้วยกรรมบังตา
มันก็คงโอ อ่ะค่ะ แต่คนที่มันไม่มีกรรมบังตาละคะ โอ้ย เล่นเอากู เดินขาลากเลยมึง เหี้ยเอ้ย
ทำกูได้ ไอ้ห่านี่ ๕๕๕ โอ้ย แม่เจ้า จินตนาการเลยเถิดเข้าป่าไม้เดียวกันไปไหนแล้วเนี่ย?
เอาละ สรุปแว่
เอ้ย สรุปว่า อย่าไปทำมันเลย ไอ้บุญหวังผลเอาชาติหน้าหน่ะนะ
ทำมันซะในปัจจุบันนี้แหละ แต่ไม่ใช่แบบ “พวกหลงยึดติดปัจจุบันขณะ” นะจ๊ะ
แบบนั้นมันยังไม่พ้นวังวนของกาลเวลา ไม่พ้นมิติที่ 4 เลย ไม่ใช่ “อกาลิโก” นะตัวเอง
ไอ้แบบที่ทำกรรมเพื่อให้ได้ผลเสวยในชาตินี้เลยอ่ะนะ แบบนั้นมันพวก “กรรมฟาสฟู้ด”
สั่งเร่งเร็วด่วนจี๋ เหมือนอาหารตามสั่ง สั่งแล้วก็ต้องได้เลย อย่าช้า ไอ้แบบนี้ก็ไม่ใช่นะจ๊ะตัวเอง
ไอ้ที่บอกว่า “ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” นั้น มันไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ได้ยึดติดกับกาลเวลาใดๆ
เลย ไม่ได้ยึดติด ไม่ได้ผูกมัดตัวเองกับปัจจุบันขณะ อ้าวแล้วมันเป็นแบบไหนกันเล่า?
เอาละ ไว้ตัวเองเลื่อนระดับไปถึงระดับมิติที่ 7 ก็จะรู้เองแหละ
ยิ่งอธิบายมาก ยิ่งเลอะเทอะไปเปล่าๆ เอาเป็นว่าแค่แนะนำให้รู้ทาง
ที่เหลือก็ไปเองแล้วกันนะจ๊ะ พึ่งตัวเองด้วยจ๊ะ โตแล้วนะจ๊ะ ไม่ใช่เด็กๆ
สำหรับบทความนี้ ขอจบเท่านี้ก่อน บะบายจ้า...
ค้นหา "ตัวตน" หลากมิติของคุณ เพื่อแผ่ขยายขอบเขตพลังแห่งการเชื่อมโยง!
สวัสดีเช้าตรู่วันหยุดนะครับ วันนี้มีเรื่องเบาๆ แต่พิเศษนิดหน่อยมาเม้าท์ให้ฟังละ คือ เรื่องทำอย่างไร เราจึงจะขยายขอบเขตของพลังในการเชื่อมโยงตัวตนหลากมิติของเราออกไปให้กว้างไกลยิ่งๆ ขึ้นไปได้เพราะถ้ายิ่งเรามีพลังที่ขยายออกไปมากเท่าไร นั่นก็หมายความว่า "เรายิ่งเติบโตในอีกทางด้านหนึ่ง" ด้วยครับ ผมจะอุปมาอย่่างนี้ ถ้าตัวคุณเหมือนพีรามิดนะ เวลาคุณเลื่อนระดับขึ้นไป คุณพัฒนาตัวเองไปใน "แนวตั้ง" คุณอาจไปได้เร็วก็จริง แต่พีรามิดของคุณ มันก็จะผอมและแหลมเปี๊ยบ ในขณะที่อีกคนหนึ่ง เขาอาจทำได้ดีกว่่า คือทั้งขยายในแนวตั้งและแนวนอน พีรามิดของเขา นอกจากจะก่อได้สูงแล้วยังมีขนาดใหญ่ด้วย แน่นอนเขาย่อมมีความมั่นคงกว่าจริงมั้ยครับ
ดังนั้น จึงไม่ใช่เพียงแต่การเลื่อนระดับเท่านั้น แต่คุณควร "แผ่บารมี" ของคุณออกในแนวนอนด้วย คุณอาจกลายเป็นคนที่เก่งมาก เพราะเลื่อนระดับไปได้สูงมาก ในเวลาอันสั้น แต่นั่นหมายความว่าคุณอาจกลายเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ไป คือ เก่งมากแต่สำเร็จได้เพียงคนเดียว ทว่า นี่ก็ไม่ใช่ความผิดหรือความเลวร้ายอะไรนะ มันเป็นแค่ทางเลือกหนึ่ง ก็เท่านั้น แต่ถ้าท่านไม่ต้องการเช่นนี้ ท่านต้องการคนอื่นๆ ให้ร่วมเดินทางไปกับท่านให้ได้ด้วย มันก็จำเป็นครับที่ท่านจะต้องทำ การเลื่อนระดับ ควบคู่กันไปกับ "การแผ่บารมี" ด้วย เอาละ ในบางคนจะมุ่งเน้นแต่แผ่บารมี แต่ไม่มีการเลื่อนระดับเลยก็มี เขาก็จะกลายเป็นคนที่ได้รับการนิยมชมชอบมากในหมู่ชนระดับล่าง แต่เขาจะไม่อาจมีความเข้าใจและวิถีชีวิตแบบ "ระดับสูง" ได้อย่างแท้จริง มันก็เหมือนคนที่ยิ่งใหญ่ "แต่ไปไม่ถึงฝั่ง" นั่นแหละครับ เพราะอะไร? อาจเป็นเพราะ "สัมภาระ" เยอะเกินไปก็ได้มังครับ ดังนั้น การแผ่บารมีควบคู่ไปกับการเลื่อนระดับ จึงเหมือนการก่อสร้างพีรามิดที่สมดุล ทั้งด้านความสูงและความกว้าง นั่นเอง ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไปนะครับ
ทีนี้ เรามาเข้าสู่ "เทคนิกในการแผ่ขยายขอบเขตพลังแห่งการเชื่อมโยง" กับตัวตนหลากมิติกันบ้าง เพราะสิ่งนี้จะช่วยในการแผ่ขยายบารมีของคุณได้ นั่นเอง เช่น ถ้าคุณค้นพบว่ามีตัวตนหลากมิติของคุณอีกตัวหนึ่ง อยู่ที่ อเมริกา แล้วคุณเชื่อมโยงพลังงานไปถึงเขาได้ คุณก็จะแผ่ขยายพลังงานได้กว้างไกลไปถึงอเมริกาโน่น มันเหมือนการเชื่อมต่อสัญญาณที่มีสถานีรับส่งสัญญาณ หลายๆ สถานี นั่นละครับ ซึ่งในช่วงแรกนี้ เป็นการยากที่คุณจะเชื่อมโยงกับตัวตนหลากมิติที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเครือข่ายของคุณแบบมิติที่ 6 เขาทำกัน ดังนั้น คุณจึงควรเริ่มต้นจากมิติที่ 5 ให้ได้ก่อน คือ เชื่อมโยงกับตัวตนหลากมิติของคุณเอง ก่อนที่จะแผ่ขยายไปสู่ตัวตนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนในเครือข่ายของคุณ บางท่านจะ "ลัดขั้นตอน" คือ เชื่อมโยงพลังงานไปยังตัวตนมากมายที่ไม่ใช่ตัวตนในเครือข่ายของตน เช่น การที่คนๆ หนึ่งขึ้นเวทีร้องเพลง มีคนห้อมล้อมและเชื่อมโยงพลังงานกับเขามาก เขาจะได้รับพลังงานจากคนเหล่านั้นมาก และทำให้เขาดูเหมือนว่าไปได้ไกล มีชีวิตที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่า ม้ันเป็นการลัดขั้นตอน แม้จะให้ผลดีดังใจต้องการในระยะสั้น แต่มันจะมีผลร้ายตามมาภายหลังได้ครับ สุดท้าย ถามว่าคุณจะค้นหา "ตัวตนหลากมิติของคุณ" เพื่อเชื่อมโยงได้อย่างไร? คำตอบก็ไม่ยากครับ คุณอาจดูจากสื่อต่างๆ ทีวี, วิทยุ, หนัง, ละคร, เกม, นิยาย, หนังสือ ฯลฯ อะไรก็ได้ที่ทำให้คุณ "สัมผัสถึงตัวตนอีกมิติหนึ่งของคุณได้" มันก็จะช่วยให้คุณค้นหา "ตัวตนหลากมิติอื่นๆ" ของคุณได้อีก เช่น ถ้าคุณค้นพบว่ามีคนที่อเมริกาเป็นเครือข่ายตัวตนหนึ่งของคุณ ผ่านการดูหนัง เท่านี้ละ คุณก็เชื่อมโยงพลังงานกับเขาได้เลย แต่ถ้าคุณไม่อาศัยสิ่งเหล่านี้ ก็ยากเหมือนกันครับ ที่จะค้นหา "ตัวตนหลากมิติ" ของคุณได้ สวัสดี...
ดังนั้น จึงไม่ใช่เพียงแต่การเลื่อนระดับเท่านั้น แต่คุณควร "แผ่บารมี" ของคุณออกในแนวนอนด้วย คุณอาจกลายเป็นคนที่เก่งมาก เพราะเลื่อนระดับไปได้สูงมาก ในเวลาอันสั้น แต่นั่นหมายความว่าคุณอาจกลายเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ไป คือ เก่งมากแต่สำเร็จได้เพียงคนเดียว ทว่า นี่ก็ไม่ใช่ความผิดหรือความเลวร้ายอะไรนะ มันเป็นแค่ทางเลือกหนึ่ง ก็เท่านั้น แต่ถ้าท่านไม่ต้องการเช่นนี้ ท่านต้องการคนอื่นๆ ให้ร่วมเดินทางไปกับท่านให้ได้ด้วย มันก็จำเป็นครับที่ท่านจะต้องทำ การเลื่อนระดับ ควบคู่กันไปกับ "การแผ่บารมี" ด้วย เอาละ ในบางคนจะมุ่งเน้นแต่แผ่บารมี แต่ไม่มีการเลื่อนระดับเลยก็มี เขาก็จะกลายเป็นคนที่ได้รับการนิยมชมชอบมากในหมู่ชนระดับล่าง แต่เขาจะไม่อาจมีความเข้าใจและวิถีชีวิตแบบ "ระดับสูง" ได้อย่างแท้จริง มันก็เหมือนคนที่ยิ่งใหญ่ "แต่ไปไม่ถึงฝั่ง" นั่นแหละครับ เพราะอะไร? อาจเป็นเพราะ "สัมภาระ" เยอะเกินไปก็ได้มังครับ ดังนั้น การแผ่บารมีควบคู่ไปกับการเลื่อนระดับ จึงเหมือนการก่อสร้างพีรามิดที่สมดุล ทั้งด้านความสูงและความกว้าง นั่นเอง ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไปนะครับ
ทีนี้ เรามาเข้าสู่ "เทคนิกในการแผ่ขยายขอบเขตพลังแห่งการเชื่อมโยง" กับตัวตนหลากมิติกันบ้าง เพราะสิ่งนี้จะช่วยในการแผ่ขยายบารมีของคุณได้ นั่นเอง เช่น ถ้าคุณค้นพบว่ามีตัวตนหลากมิติของคุณอีกตัวหนึ่ง อยู่ที่ อเมริกา แล้วคุณเชื่อมโยงพลังงานไปถึงเขาได้ คุณก็จะแผ่ขยายพลังงานได้กว้างไกลไปถึงอเมริกาโน่น มันเหมือนการเชื่อมต่อสัญญาณที่มีสถานีรับส่งสัญญาณ หลายๆ สถานี นั่นละครับ ซึ่งในช่วงแรกนี้ เป็นการยากที่คุณจะเชื่อมโยงกับตัวตนหลากมิติที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเครือข่ายของคุณแบบมิติที่ 6 เขาทำกัน ดังนั้น คุณจึงควรเริ่มต้นจากมิติที่ 5 ให้ได้ก่อน คือ เชื่อมโยงกับตัวตนหลากมิติของคุณเอง ก่อนที่จะแผ่ขยายไปสู่ตัวตนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนในเครือข่ายของคุณ บางท่านจะ "ลัดขั้นตอน" คือ เชื่อมโยงพลังงานไปยังตัวตนมากมายที่ไม่ใช่ตัวตนในเครือข่ายของตน เช่น การที่คนๆ หนึ่งขึ้นเวทีร้องเพลง มีคนห้อมล้อมและเชื่อมโยงพลังงานกับเขามาก เขาจะได้รับพลังงานจากคนเหล่านั้นมาก และทำให้เขาดูเหมือนว่าไปได้ไกล มีชีวิตที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่า ม้ันเป็นการลัดขั้นตอน แม้จะให้ผลดีดังใจต้องการในระยะสั้น แต่มันจะมีผลร้ายตามมาภายหลังได้ครับ สุดท้าย ถามว่าคุณจะค้นหา "ตัวตนหลากมิติของคุณ" เพื่อเชื่อมโยงได้อย่างไร? คำตอบก็ไม่ยากครับ คุณอาจดูจากสื่อต่างๆ ทีวี, วิทยุ, หนัง, ละคร, เกม, นิยาย, หนังสือ ฯลฯ อะไรก็ได้ที่ทำให้คุณ "สัมผัสถึงตัวตนอีกมิติหนึ่งของคุณได้" มันก็จะช่วยให้คุณค้นหา "ตัวตนหลากมิติอื่นๆ" ของคุณได้อีก เช่น ถ้าคุณค้นพบว่ามีคนที่อเมริกาเป็นเครือข่ายตัวตนหนึ่งของคุณ ผ่านการดูหนัง เท่านี้ละ คุณก็เชื่อมโยงพลังงานกับเขาได้เลย แต่ถ้าคุณไม่อาศัยสิ่งเหล่านี้ ก็ยากเหมือนกันครับ ที่จะค้นหา "ตัวตนหลากมิติ" ของคุณได้ สวัสดี...
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
การเลื่อนระดับไปได้จริงๆ กับการไม่ได้เลื่อนระดับแต่ใช้ญาณหยั่งขึ้นไปรู้ ต่างกันอย่างไร?
ข้อแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างการเลื่อนระดับจริงๆ
ของคุณกับการไม่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ แต่คุณอาจใช้ญาณหยั่งรู้หรือได้รับข้อมูลต่างมิติมานั้นก็คือ
ตัวของคุณจริงๆ จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปหรอก ถ้าคุณไม่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ
แต่คุณก็แค่ “รู้” มันเท่านั้น ดังนั้น ถ้าคุณเลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ ได้เมื่อไร
ชีวิตของคุณก็จะเปลี่ยนแปลงไป “จริงๆ” ไม่ใช่แค่ปรัชญาหรือทฤษฎี
และคุณก็มั่นใจได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น มันจะดีขึ้นแน่นอน เพราะคุณเลื่อนระดับขึ้นไปไงละ
ไม่ได้ตกต่ำลงเสียหน่อย เอาละอย่างไรก็ดีในโลกของคุณจะมี “คนกลุ่มหนึ่งที่จะได้รับข้อมูลหรือได้ญาณหยั่งรู้ขั้นสูง”
รู้เรื่องราวของการเลื่อนระดับเหล่านี้ก่อน แต่เขาอาจจะยังไม่ใช่คนที่เลื่อนระดับขึ้นไปได้จริงๆ
หรอกนะ พวกเขาแค่มาเปิดทาง บอกทาง ให้คนอื่นๆ
ก่อนก็เท่านั้นแต่พวกเขาเองยังไม่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิด
หรือเลวร้ายแต่อย่างใด เพราะพวกเขาก็ต้องทำหน้าที่
เพื่อการเลื่อนระดับของเขาเองเหมือนกัน นั่นหมายความว่า
เขาจะเลื่อนระดับได้ก็ต้องทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลดังกล่าว นั่นเอง อีกประการ
ข้อมูลที่ได้จากการใช้ญาณหยั่งรู้แต่ไม่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ นั้น
จะเป็นข้อมูลที่ค่อนข้าง “ไม่เป็นรูปธรรม” และเข้าใจได้ยาก
ก็ด้วยการหยั่งรู้ในระดับจิตนั่นเอง ไม่ใช่การสังเกตจาก “ชีวิตจริง”
เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาเลื่อนระดับไปได้ในชีวิตจริงแล้ว
เขาก็ไม่ต้องใช้ญาณหรือดูทางในอีกต่อไป เขาจะดูตัวเขาเอง
ดูจากชีวิตจริงของเขาเองได้เลย
ซึ่งมันอาจจะมีบางอย่างที่อธิบายต่างกันบ้างเล็กน้อย
แต่มันก็คือสิ่งเดียวกันนั่นแหละ แต่คุณต้องไม่ลืมว่า “มนุษย์ที่มีร่างสังขารแล้วเลื่อนระดับขึ้นไป”
กับ “ตัวตนในมิติทิพย์ที่อยู่ในระดับมิติที่สูง” นั้นแตกต่างกันมาก
สิ่งที่ตัวตนในมิติที่สูงเช่น มิติที่ 7 บอกมานั้น
เป็นสภาวะของ “ตัวตนในมิติอื่นที่ไม่ใช่ร่างมนุษย์โลก” เช่น มิติทิพย์ ทั้งหลาย
ในขณะที่เมื่อคุณเลื่อนระดับขึ้นไปได้แล้ว ตัวตนที่เป็นมนุษย์โลกของคุณนั่นแหละ
ที่จะแสดงลักษณะของสิ่งที่เป็นอยู่ในมิติที่สูงขึ้นนั้นเอง ดังนั้น
มันจึงมีความแตกต่างกันได้บ้าง ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้
เอาละ
อย่างไรก็ตาม ผมยังแสดงจุดยืนชัดเจนว่า “การเลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ เป็นสิ่งที่เรา
ชาวสากลจักรวาลต้องการให้คุณเป็น มากกว่า การใช้ญาณหยั่งรู้เฉยๆ
หรือการได้รับข้อมูลต่างมิติเพียงเท่านั้น” เพราะสิ่งนั้น มันแค่ “ข้อมูลและการรู้”
แต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงๆ เกิดขึ้นจริงๆ นั่นเอง ทว่า เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องมี
“ผู้หยั่งรู้” คอยบอกทาง เพื่อให้ “นักปฏิบัติ”
ได้รับข้อมูลและสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางที่เรามุ่งหวังไว้ได้
แต่สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็คือ “ข้อเท็จจริงจากนักปฏิบัติจริง” ซึ่งมันจะแตกต่างจากข้อมูลต่างมิติแน่นอน
เพราะในโลกนี้ ยังไม่ค่อยมีคนเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงได้มากเท่าใดนัก การมี “มนุษย์โลกเป็นตัวอย่าง”
ให้เราได้ศึกษา จึงดีกว่า และบางอย่างอาจพบว่าแตกต่างจากตัวตนในระดับสูงที่ไม่ได้อยู่ในมิติของมนุษย์โลก
ก็ได้ เช่น ตัวตนในมิติที่ 7 ระดับทิพย์ อาจเป็นตัวตนที่ไร้ลักษณ์ มีเหมือนไม่มี
ไม่มีรูปธรรมที่แน่นอนชัดเจน ทว่า มนุษย์โลกอย่างคุณจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร? ในเมื่อพวกคุณยังต้องใช้ร่างสังขารทำงานอยู่ร่วมกับมนุษย์โลกคนอื่นๆ
ที่ยังอยู่ในระดับมิติที่ต่ำกว่า เช่น ในมิติที่สาม ที่ยังต้อง “มองเห็นเป็นรูปธรรมสามมิติ”
อยู่ ดังนั้น เมื่อมนุษย์โลกอย่างพวกคุณ ได้เลื่อนระดับไปสู่มิติที่ 7 แล้ว
จึงไม่อาจมีสภาวะเป็นเหมือน “ตัวตนในมิติทิพย์” ได้ ทว่า มันไม่ต่างกัน
เพราะในระดับนี้ “รูปธรรมเปลือกนอก ไม่ใช่ตัวชี้วัด” ใดๆ ได้อีกเลย ทว่า
คุณจำเป็นต้องเข้าใจถึง “ระดับของพลังงาน” ให้ดีว่าพลังงานในระดับมิติที่ 7 นั้น
มีลักษณะคลื่นความถี่แบบใด ถ้าคุณพัฒนาไปจนมีคลื่นความถี่ที่สอดคล้องกันได้แล้ว
นั่นแหละ คุณจึงจะเลื่อนระดับไปได้สำเร็จ ดังนั้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องทำตัวเหมือน “ตัวตนในมิติที่
7”
จริงๆ ก็ได้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ในความเป็น “มนุษย์โลกของคุณ” แต่มันเป็นไปได้ “ในวิถีชีวิตจริงของคุณ”
ซึ่งสอดคล้องกันด้วยคลื่นความถี่เดียวกันในระดับมิติที่ 7 นั้น
นั่นเอง หาใช่ความเหมือนเพียง “เปลือกนอก” ไม่ ...
พร้อมหรือยังที่จะทำ Whole in once (ทั้งหมด ณ ฉับพลัน) กับเราในอีกไม่นานนี้?
ฮาโหลๆ ยามเย็น
เริ่มหมดแรงกันหรือยังครับ หลังจากทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
เรามาพบกันอีกแล้วนะครับ และเช่นเคย เราก็มาเม้าท์กันเหมือนเดิมหละครับ โฮ่ๆๆ
เอาละ สำหรับบทความนี้ ผมอยากจะเม้าท์เรื่องความแตกต่างของระดับมิติที่ 5-6-7 ให้ละเอียดขึ้นอีกโดยจะเริ่มจาก ในระดับมิติที่ 5-6 ที่เหมือนกันก่อนคือ “ตัวตนหลากมิติ”
แต่ต่างกันตรงที่ระดับ “ความกว้าง” เท่านั้นเอง กล่าวคือ ในระดับมิติที่ 5 นั้น ขอบเขตความกว้างของตัวตนหลากมิติ
มีอยู่เฉพาะตัวตนในกลุ่มของตนเองเท่านั้น แต่เมื่อผ่านไปสู่ระดับมิติที่ 6 ได้แล้ว แม้ว่าไม่ใช่ตัวตนที่อยู่ในกลุ่มของตนก็สามารถเชื่อมโยงได้
เช่น ตัวตนในกลุ่มอื่นๆ ก็ไม่ต่างจากตัวตนในกลุ่มของตน
ทีนี้ ลองมาดู
“พลังในการเชื่อมโยง” บ้าง ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? เอาละ
สำหรับพลังในการเชื่อมโยงนั้น ไม่ได้แตกต่างกันที่ระดับของมิติ แต่แตกต่างกันที่ลักษณะการเชื่อมโยงเท่านั้น
คือ ๑. การเชื่อมโยงแบบนำเข้า ๒. การเชื่อมโยงแบบนำออก ๓. การเชื่อมโยงสองทาง
มีสามแบบนี้ ในคนที่เชื่อมโยงแบบนำเข้าอย่างเดียวเขาจะรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นใครไม่รู้หลายคนเพราะอะไร
ก็เพราะว่าพลังงานของ “ตัวตนหลากมิติ” มากมายหลายตัวตนถูก “เชื่อมโยงแบบนำเข้า”
มานั่นเอง แต่ในคนที่มีพลังเชื่อมโยงแบบนำออกอย่างเดียว
เขาจะไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ตรงข้ามเขาจะรู้สึกเป็น “ตัวของตัวเองมาก” ไม่เหมือนมีตัวตนหลากมิติอะไรเลย
ทว่าพลังงานของเขาได้ถูกนำออกแล้วเชื่อมโยงไปสู่ “ตัวตนหลากมิติ” อีกมากมาย
ดังนั้น เขาจะสงสัยว่าทำไม คนๆ นั้นจึงมีความคิดเหมือนเขาได้ หรือว่า เอ๊ะ นี่เขาคิดก่อนนี่
ทำไมความคิดของเขาไปโผล่ที่คนๆ นั้นได้ นี่ก็เพราะ “พลังงานที่เชื่อมโยงแบบนำออก” แผ่มาจากตัวเขาไปสู่ตัวตนหลากมิติ
นั่นเอง
เอาละ
กลับมาดูขอบเขตของการเชื่อมโยงกับตัวตนหลากมิติ ในระดับมิติที่ 5 และระดับมิติที่ 6 กันบ้าง ว่าแตกต่างกันอย่างไร? ก็ไม่ยากครับ
ถ้าเป็นการเชื่อมโยงแบบนำเข้า ในระดับมิติที่ 5 เขาย่อมจะนำเข้าพลังงานจากตัวตนหลากมิติได้
“เฉพาะตัวตนในกลุ่มของเขาเท่านั้น” แต่ถ้าในระดับมิติที่ 6 แล้วละก็
เขาย่อมจะนำเข้าพลังงานจากตัวตนหลากมิติที่ไม่ใช่ตัวตนในกลุ่มของเขา ก็ได้
ในทางกลับกัน ถ้าเป็นการเชื่อมโยงแบบนำออกบ้างละ สำหรับในระดับมิติที่ 5 แล้ว เขาย่อมจะส่งพลังเชื่อมโยงไปได้กว้างไกลเฉพาะตัวตนหลากมิติของตัวเองเท่านั้น
แต่ในระดับมิติที่ 6 นั้น เขาย่อมส่งพลังเชื่อมโยงไปได้กว้างกว่าตัวตนหลากมิติของตัวเอง
กล่าวคือ เขาสามารถส่งพลังเชื่อมโยงไปสู่ตัวตนหลากมิติอื่นๆ
ที่ไม่ใช่ตัวตนในกลุ่มของตัวเองได้ด้วย
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวบรรยายลักษณะของมิติที่ 5-6 มานี้ ยังเป็น “การทดลอง” อยู่
และคุณก็ยังเป็นได้แค่ X-men
ที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ
และยังไม่อาจออกจากห้องแล็ปได้ คุณก็จะยังไม่สามารถมีชีวิตที่อิสระได้มากนัก
คุณจะรู้สึกได้ถึง “การถูกขังกรอบ” ซึ่งเป็นกรอบที่คุณเองก็มองไม่เห็น
แต่รู้สึกได้ว่ามันมีอยู่จริง จนกว่าคุณจะสอบผ่านเข้าสู่มิติที่ 7 ได้ คุณจึงจะมีอิสระขึ้นได้ ทีนี้ เราลองมาดูในระดับมิติที่
7 กันบ้าง ในระดับนี้ มันไม่ใช่แค่การเชื่อมโยงแล้ว
แต่มันจะเป็น “ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” (Whole in once) ซึ่งคุณจะถูกจัดสรรให้ลงตำแหน่งที่เหมาะสมสักหนึ่งตำแหน่งเพื่อ “ทั้งหมด
ณ ฉับพลัน” และคุณก็ยังไม่สูญเสียการเชื่อมโยงกับทั้งหมด อยู่ดี ทีนี้
คุณไม่จำเป็นต้อง “เป็นทีละตัว ไปทีละมิติ ทำทีละช่วงเวลา” อีกต่อไปแล้ว คุณทำมัน
ณ ทีนี่ เวลานี้ได้เลย แล้วมันก็จะเป็น “ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” ไปเอง นั่นคือ
มันจะเกิดการเชื่อมโยงกันทั้งหมด ณ เวลาปัจจุบันของคุณที่คุณกระทำ
ไม่ต้องไปเล่นทีละตัว, ทีละเวลา, ทีละมิติ อีกต่อ ไปแล้ว สบายดีมั้ยละ ฮ่าๆๆ
ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะเวลาผิดพลาดขึ้นมา มันก็จะส่งผลกระทบถึง “ทุกตัวตน” ได้
ทันทีเช่นกัน ดังนั้น เมื่อถึงระดับมิติที่ 7 แล้ว
คุณจึงต้องมีตำแหน่งเทพแล้วละ และจะต้องมีความรับผิดชอบสูงขึ้นกว่าเดิมด้วย ทีนี้
คุณพร้อมหรือยังที่จะทำ Whole
in once
ในฐานะและตำแหน่งอันหนึ่งอันใดที่ไม่ได้รับจากทางโลก แต่ได้รับจากสรวงสวรรค์?
เกมชีวิตที่ลิขิตโดยเทพ (ในร่างมนุษย์) คุณก็มีส่วนกำหนดอนาคตของโลกได้
สวัสดียามเช้าครับ
วันนี้เรามาเม้าท์กันต่อเรื่องของมิติที่ 7 ละกัน
อย่างที่ได้อธิบายไว้บ้างแล้วว่ามิตินี้เป็นมิติของเทพเดินดิน, เทพในร่างมนุษย์
การกระทำของพวกเขาจะไม่ใช่การลองผิด ลองถูก แต่จะเป็น “ตัวแทนของสวรรค์”
และเป็นการกระทำที่ได้รับการยอมรับจากสวรรค์แล้วว่าให้เดินเกมนั้นได้
ภายใต้ขีดจำกัดที่ว่า “อำนาจไม่ได้อยู่ในมือใครคนหนึ่ง” แต่จะกระจายอยู่ในคนหลายคน
เพื่อคานอำนาจซึ่งกันและกันอย่างสมดุล สมมุติ นาย ก. เป็นเทพในร่างมนุษย์ที่ควบคุมธาตุไฟในโลกได้
ก็จะมี นาย ข. เป็นเทพในร่างมนุษย์ที่ควบคุมธาตุน้ำในโลกได้
มาคู่กันเพื่อคานดุลยภาพกัน นั่นเอง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนโลก
จะเป็นไปโดยท่านที่อยู่ในระดับมิติที่ 7 นี้
อย่างสมดุล ผมเลยเรียกง่ายๆ ว่า “เกมชีวิตที่ลิขิตโดยเทพในร่างมนุษย์” นี่ไงละครับ
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราก็มาเม้าท์กันเรื่องนี้เลย ก็แล้วกัน
ในกระบวนการนี้
ยังมีท่านที่อยู่ในระดับมิติที่สูงขึ้นกว่า ขึ้นไป คอยดูแลอยู่ด้วย
เหมือนผู้กำกับอีกที เพื่อให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างสมดุล
เพราะการเปลี่ยนแปลงในโลก จำเป็นต้องดำเนินไปอย่างสมดุลครับ ในขณะที่ “ตัวกระทำ”
ไม่อาจทำแบบนั้นได้ตัวกระทำแต่ละตัวต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง
ตามธรรมชาติที่ตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ดังที่บอกแล้ว คนที่ควบคุมธาตุไฟ ก็ต้องเป็นไฟ
คนที่ควบคุมธาตุน้ำก็ต้องเป็นน้ำ ผมเลยอยากเรียกยุคนี้ในบางครั้งว่า “สงครามมหาเทพ”
ก็ได้มันเท่ห์ดีเพราะมันจะมีเทพในร่างมนุษย์หลายคนที่ใช้พลังปะทะกันครับ
พวกเขาอาจมีความคิดเห็น, การพูด, การกระทำที่ขัดแย้งกัน ยังกะจะก่อสงครามเลยแล้วมันจะทำให้พลังในตัวของเขาถูกปลดปล่อยออกมา
ยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ครับ อันนี้
ก็ไม่ต่างอะไรกับนิทานปรัมปราที่เราเคยอ่านครั้งยังเด็กนะครับ แต่ว่า “มันก็คือความจริงในมิติที่
7” ครับ
...
ในระดับมิติที่
7 นี้ จะมีเทพในร่างมนุษย์ที่จะอยู่ในระดับ “ตัวกระทำ”
เหมือนตัวละคร ที่ต้องเล่นบทบาทต่างๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกครับ
แล้วเขาจะต้องมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก เปลี่ยนไปอย่างอื่นไม่ได้ เช่น
ถ้าเขาถือธาตุไฟ จะให้เขาเป็นคนใจเย็นไม่ได้นะครับ ไม่เช่นนั้น
เขาจะไม่อาจใช้พลังของเขาได้เลย และสูญเสียพลังธาตุไฟไปหมดได้ ดังนั้น
ก็เป็นธรรมดาครับ ที่เราจะเห็น “เทพในร่างมนุษย์” ที่ดูเหมือนเอาแต่ใจตัวเองหน่อย
หรือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงธรรมชาติในตัวเอง นี่ไม่ใช่แบบมนุษย์ในมิติที่ 3 หรอกนะครับ
มันสูงกว่านั้นและมันเป็นความจำเป็นของระดับมิติที่ 7 ครับ คือ “อย่าสูญเสียธรรมชาติของตัวเอง” จงเป็นอย่างที่คุณเป็น
จงเป็นตัวเองตามธรรมชาติที่คุณเป็นนั้น เพราะจะมีคนอื่นๆ เข้ามาช่วยคานอำนาจให้คุณเองครับ
แต่ถ้าคุณสูญเสียธรรมชาติของคุณไป ก็จบเห่ คุณก็จะทำหน้าที่ไม่ได้แล้วครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)